วันเสาร์ ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไปเดือนกว่าแล้ว โดยได้ขยายเวลา
ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 โดยเห็นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเป็นอันตรายร้ายแรงต่อประชาชนและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศด้วย
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้เป็นการประกาศในขอบเขตทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่การประกาศนั้นสามารถประกาศได้เป็นบางพื้นที่ก็ได้หรือประกาศทั่วประเทศก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นบ่อเกิดแห่งการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่าครอบคลุมเฉพาะบางพื้นที่หรือครอบคลุมทั้งประเทศ
แม้ว่าในขณะที่ประกาศนั้นมีประมาณ 10 จังหวัดที่ไม่มีการแพร่ระบาดและไม่มีผู้ป่วยเลย แต่ก็พออนุโลมได้ว่าในเมื่อพื้นที่จังหวัดส่วนใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในบรรยากาศของการแพร่ระบาดของโควิดก็มีความเสี่ยงที่กระทบต่อพื้นที่จังหวัดส่วนน้อยที่เหลืออยู่ได้ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในขอบเขตทั่วประเทศจึงเหมาะสมและชอบด้วยประการทั้งปวง
ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือและด้วยความทุ่มเทเสียสละของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งคณะผู้ประกาศหรือชี้แจงข้อเท็จจริงรายวันที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้น ผลปรากฏว่าประเทศไทยสามารถเข้าสู่การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างได้ผลและในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะผลการรักษาด้วยยาที่ประกาศใช้โดยกระทรวงสาธารณสุขฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2563 ได้รักษาผู้ป่วยให้หายป่วยได้เกือบ 3,000 คน ในห้วงเวลาไม่ถึง 20 วันเท่านั้น บางวันก็มีผู้ช่วยหายป่วยถึง 202 คน
ทำให้พื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มและไม่มีผู้ป่วย คงมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยอยู่ในบางพื้นที่อันจำกัดอย่างยิ่ง เช่น บางจังหวัดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดภูเก็ต และอีกบางจังหวัดที่กระเส็นกระสายเล็กน้อยมาก ดังที่ปรากฏว่าในบางวันไม่มีผู้ป่วยเพิ่มเลย หรือถึงพบบ้างก็แค่ 1-3 คน ซึ่งชัดเจนว่าประเทศไทยบรรลุความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้แล้ว
หมายความว่าพื้นที่จังหวัดส่วนใหญ่ของประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด ไม่มีผู้ป่วยโควิด และไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายวัน ซึ่งถือว่าพ้นระยะเวลาแพร่ระบาดของโควิดแล้ว คงมีพื้นที่ราว3 จังหวัดเท่านั้นที่ยังมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยอยู่ โดยยอดผู้ป่วยรวมมีเพียงประมาณ 100 คนเท่านั้น
และย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดว่าสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่เกือบทั่วประเทศไทยได้หมดไปแล้ว คงมีพื้นที่ที่เรียกว่าแพร่ระบาดเพียง 3 จังหวัดโดยประมาณเท่านั้น
แต่ทว่ายังมีคนบางกลุ่มบางพวกที่ต้องการให้ยืดสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก บางคนแสดงท่าทีอยากจะให้ยืดยาวไปถึง 6-9 เดือน คนบางพวกก็ต้องการที่จะให้ล็อกประเทศไทยไว้ต่อไปจนกว่าการแพร่ระบาดทั่วโลกจะจบสิ้นลง โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายร้ายแรงในทุกด้านที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทยและประชาชาติไทยทั้งหลาย
คนเหล่านี้ไม่คำนึงว่าธุรกิจต่างๆ ของประเทศไทยต้องปิดกิจการ ต้องขาดทุนย่อยยับ และเสียหายยับเยิน โดยที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ในขณะที่มีคนตกงาน มีคนว่างงาน ไม่มีรายได้ ไม่พอกิน และไม่มีจะกิน จนเกิดอาการเครียดและฆ่าตัวตายกันทุกวัน วันละหลายศพ เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่คำนึงถึงหรือมองข้ามไปไม่ได้เลย
เพราะถ้าขืนมองข้ามต่อไป ไม่ช้าความกลัวโรคระบาดก็จะหมดไป แต่จะเกิดความกลัวตายเข้ามาแทนที่และดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากความตายนั้น เพลิงแห่งความคับแค้นชิงชังจะรุ่มร้อนเผาผลาญรุนแรงสักขนาดไหนเป็นสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ นี่เป็นการมองในทัศนะด้านเศรษฐกิจและมนุษยธรรม
แต่ในทางกฎหมายนั้น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการหรืออำเภอใจของใคร หากต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ แม้การยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลโพลล์ใดๆ ไม่ว่าโพลล์จริงหรือโพลล์ IO และไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการหรืออำเภอใจของใคร แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
นั่นคือพื้นที่จังหวัดใดที่ไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว คือไม่มีการแพร่ระบาดแล้ว ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มแล้ว ไม่มีผู้ป่วยแล้ว หรือแม้จะมีก็อยู่ในวิสัยที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายปกติคือกฎหมายป้องกันโรคระบาด ซึ่งเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการออกประกาศมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ในพื้นที่เหล่านี้จะต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทันทีที่สถานการณ์สิ้นสุดลง
และถ้าเห็นว่าพื้นที่ทั่วประเทศหมดสภาพสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เพราะแม้มีการแพร่ระบาดอยู่บางส่วนแต่ควบคุมได้แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศอีกต่อไป เพราะสามารถใช้อำนาจกฎหมายตามปกติ คือกฎหมายป้องกันการแพร่โรคระบาดได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ก็ต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งประเทศนั้น
ถ้าสถานการณ์ฉุกเฉินหมดสิ้นลงทั่วประเทศหรือในระดับพื้นที่ส่วนใหญ่หลายจังหวัด และผู้มีอำนาจมีหน้าที่ต้องประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายก็ย่อมมีความรับผิดตามกฎหมายด้วย นั่นคืออาจถูกดำเนินคดีฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นได้
และผู้เสียหายก็สามารถฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตได้ และอาจเรียกค่าเสียหายได้ด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสถานการณ์ที่เป็นจริงโดยถ่องแท้และรอบคอบรัดกุมแล้วดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องต่อไป

แซะเลอะเทอะ! เกรียนสวนกุหลาบ โยงการเมือง-จตุรมิตร
มวลอากาศเย็นจีนแผ่ปกคลุม! เหนือหนาวจัด6องศา ใต้ฝนยังตกหนัก40%ของพื้นที่
Portugal. The Man ปล่อย 'SHISH'อัลบั้มลำดับที่ 10 ของ John Gourley
‘ฉายแสง แอด.เวนเจอร์’ ร่วมกับ ‘เดอะ โกสท์ เรดิโอ’ ส่งภาพยนตร์ ‘ข้างบ้าน’
6เดือนประเมินใหม่ สธ.แจงปลดล็อกขายเหล้า

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี