เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2563 ไอลอว์ (โครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw) รายงานกรณี ผบ.เหล่าทัพที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขาดการลงมติ ความว่า
“5 ใน 6 ผู้นำเหล่าทัพติดอันดับ สว.ไม่มาลงมติมากที่สุด”
...รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 269 (1) (ค.) ระบุโควตาที่มาของสว.จากกลุ่มทหารและตำรวจโดยอัตโนมัติ ได้แก่ 1.ให้ปลัดกระทรวงกลาโหม 2.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3.ผู้บัญชาการทหารบก 4.ผู้บัญชาการทหารเรือ 5.ผู้บัญชาการทหารอากาศ 6.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะได้เป็นสว.โดยตำแหน่ง ไม่ต้องลาออกจากราชการ ทำงานไปพร้อมกันได้
...ก่อนจะดูความขยันขันแข็งของผู้นำเหล่าทัพในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ต้องเข้าใจก่อนว่าการเข้าประชุมและการลงมติในที่ประชุมถือเป็นหน้าที่หลักของสว. รัฐธรรมนูญกำหนดเงื่อนไขการพ้นตำแหน่งของ สว.ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภาไว้ในมาตรา 111 (5) ว่าให้สมาชิกภาพของส.วสิ้นสุดลงเมื่อขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของจํานวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกําหนดเวลาไม่น้อยกว่า 120 วัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภา
...หมายความว่าภายใน 120 วันนั้น สว.ต้องเข้าประชุมมากถึง 75% แต่ก็มีข้อยกเว้นว่าหากประธานวุฒิสภาอนุญาตให้ขาดประชุมก็จะไม่นับว่าขาดประชุม ปกติแล้วการลาก็ถือว่าประธานวุฒิสภาอนุญาตแล้ว ในข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2562 ก็ไม่ได้กำหนดเรื่องการขาดประชุมเป็นบทลงโทษสว.ไว้ด้วย ต่างจากสมัยที่ยังใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่มีบทลงโทษให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พ้นจากตำแหน่งหากขาดประชุมและไม่ลงมติเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนการประชุม”
จากการตรวจสอบทั้ง 145 มติ พบว่า สว.ที่เป็นผู้นำทหารและตำรวจ 5 ใน 6 คน ติดโผ 10 อันดับคนที่ขาดลงมติมากที่สุด ได้แก่ 1.พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์(ผบ.ทร.) ขาด 144 มติ 2.พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์(ผบ.ทบ.) ขาด 143 มติ 3.พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน(อดีต ผบ.ทอ.) เปลี่ยนเป็น พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์(ผบ.ทอ.) เข้าเป็น สว. แทนตามตำแหน่งโดยใช้รหัสสว.เดิม เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ทั้งสองคนรวมกัน ขาด 143 มติ4.พลตรี กลชัย สุวรรณบูรณ์ ขาด 143 มติ 5.ศาสตราจารย์ ร้อยเอก ทินพันธุ์ นาคะตะ ขาด 137 มติ6.พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี (ผบ.สส.) ขาด 136 มติ 7.พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ (ปลัดกระทรวงกลาโหม) ขาด 135 มติ 8.พลตำรวจโท จิตติ รอดบางยาง ขาด 125 มติ 9.กูรดิสถ์ จันทร์ศรีชวาลา ขาด 117 มติ 10.พลเอกปัฐมพงศ์ ประถมภัฏ ขาด 112 มติ
ส่วน พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา (ผบ.ตร.) มีสถิติไม่ได้เข้าลงมติ 99 มติ และเข้าลงมติ 46 มติ ถือว่าขาดน้อยที่สุดในบรรดาสว.เหล่าทัพ
สำหรับ สว.ขยันที่สุด เข้าประชุมโดยไม่เคยขาดการลงมติสักครั้ง มีอยู่ 2 คน ได้แก่ พลเอกจีระศักดิ์ ชมประสพ และพลเอก อู้ด เบื้องบน ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยของการไม่ได้มาลงมติของ สว. 250 คนนั้น พบว่า แต่ละมติจะมีคนขาดอยู่ 25 คน
วันเดียวกันนั้นเอง ที่กระทรวงกลาโหม พลโทคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ทางโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) สำรวจพบว่า 5 ใน 6 ผู้นำเหล่าทัพติดอันดับ สว. ที่ไม่มาลงมติมากที่สุดนั้น ว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่มองว่าทุกคนอาจมีภารกิจส่วนตัว และเชื่อว่าทุกคนสามารถชี้แจงได้
ต่อมาวันที่ 28 พ.ค. แหล่งข่าวจากความมั่นคงฯ กล่าวถึงกรณีที่ทางโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) สำรวจพบว่า 5 ใน 6 ผู้นำเหล่าทัพติดอันดับ สว. ที่ไม่มาลงมติมากที่สุดนั้น ว่า ผบ.เหล่าทัพ มีงานสำคัญและความรับผิดชอบในงานที่ต้องปฏิบัติมาก หากเป็นสถานการณ์ปกติจะไม่มีเวลามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา แต่ช่วงนี้เสมือนอยู่ในช่วงเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้ผู้รับผิดชอบคุมกำลังตำรวจ ทหาร มาทำหน้าที่ห้วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้การดำเนินการทางการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งแรกมีเสถียรภาพ ดังนั้นหากทุกคนต่างทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในกรอบของข้อบังคับ ระเบียบอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร. เข้าใจเป็นอย่างดีถึงบทบาทและเหตุผลในการเข้ามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาฯในช่วงสั้นๆ นี้ รวมทั้งผลงานที่ผ่านมาของวุฒิสภา ชุดปัจจุบันนี้ก็ถือว่ามีผลงานยอดเยี่ยม และยังไม่มีอะไรที่น่าจะถูกตำหนิในผลงานของวุฒิสภา เชื่อวุฒิสภา ยังคงทำหน้าที่ได้ดีต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ การขาดประชุม หรือขาดโหวต เชื่อว่ายังคงไม่ขาดเกณฑ์ตามข้อบังคับของสำนักเลขาธิการวุฒิสภา เพียงแต่ขาดมาก เพราะมีงานสำคัญ แต่ยังอยู่ในข้อบังคับ และการโหวตเรื่องสำคัญไม่เคยพลาด เชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร. มีความรับผิดชอบในการทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา และไม่มีพฤติกรรมละเมิดข้อบังคับแต่อย่างไร และไม่เคยขาดการลงมติสำคัญ ๆ แน่นอน” แหล่งข่าว กล่าว
รายงานข่าวจากสภาฯ เปิดเผยว่า ปกติการขอข้อมูลที่เป็นความลับของหน่วยงาน จะต้องมีการทำหนังสือขอข้อมูลอย่างเป็นทางการ มีเอกสารหลักฐานที่แน่ชัดว่าเอาไปทำอะไร มีวัตถุประสงค์ใด ซึ่งจะเป็นไปตาม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ดังนั้นต้องขอตรวจสอบก่อนว่าสิ่งที่โครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) นำตัวเลขออกมาเปิดเผยนั้น ได้มีการทำหนังสือขอจากสภาฯหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ถูกต้อง แต่ทั้งนี้ ต้องขอตรวจสอบก่อนว่าได้มีหนังสือขอข้อมูลอย่างเป็นทางการหรือไม่
วิเคราะห์ :
1) ตอนมีการเสนอให้ ผบ.เหล่าทัพมาเป็น สว.โดยตำแหน่ง ไม่พบการปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วยของ ผบ.เหล่าทัพแต่ละท่านเลย เวลานี้ จะอ้างเรื่อง “ภารกิจเยอะ” จะได้ไหม เพราะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในตอนนั้น ก็เคยพูดถึงประเด็นนี้แล้ว อย่างไรเสีย ควรที่แต่ละท่านจะออกมาชี้แจง ตามที่ พลโทคงชีพตันตระวาณิชย์ กล่าว
2) การขาดประชุมหรือขาดโหวต สะท้อน “ความไม่รับผิดชอบ” ต่อหน้าที่นี้เป็นอย่างดี อย่าใช้ “แหล่งข่าว”อ้างเลยว่า “ยังไม่ถึงเกณฑ์” เพราะมันเป็นวิธีแก้ตัวแบบ“เด็กเกเร” ไม่ใช่แบบ “ผู้นำ” ที่พึงยึด “ความรับผิดชอบ” เป็นหลักสูงสุด
3) อย่าใช้วิธีแบบ “ทหาร” ตามที่แหล่งข่าวอ้าง ว่าจะต้องตรวจสอบว่าไอลอว์ขอข้อมูลอย่างถูกต้องไหม มันเหมือนการ “ขู่” แม้สิ่งที่พูดในหลักการจะถูกต้องว่าต้องขอ แต่ควรตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนมีท่าทีเหมือน “ขู่” โดยสิ่งที่ควรตรวจสอบเป็นอันดับแรกคือ ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ แล้วมาอธิบายกันที่ตรงนั้นเป็นประการแรก
4) เมื่อช่วงต้นปีก็มีการพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว ว่าควรมีการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้ สว.จาก ผบ.เหล่าทัพพ้นจากตำแหน่ง สว.ไปเสีย โดยในวันที่ 2 ม.ค.2563พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็น ผบ.เหล่าทัพเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ว่า ก็แล้วแต่รัฐสภา เพราะเป็นความคิดของประธานสภา
เมื่อถามว่าตอนที่ คสช.เสนอให้ ผบ.เหล่าทัพ เป็น สว.โดยตำแหน่งเพราะอะไร พลเอกประวิตร ชี้แจงว่า เพื่อให้เหล่าทัพติดตามงานในสภา เพื่อจะได้รู้เรื่องและมาบอกให้ทหารทราบ และเป็นการทำงานร่วมกับ สส. ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติ
เมื่อถามว่าทหารจะขัดข้องหรือไม่ พลเอกประวิตรระบุว่าไม่รู้ไม่เกี่ยวแล้วแต่สภา และไม่ต้องมีการเรียกใครมาพูดคุย
5) วันเดียวกันนั้น นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ข้อเสนอเหล่านี้สามารถเสนอได้ แต่ก็ต้องดูบริบทว่ารัฐธรรมนูญเดิมที่เขียนไว้แบบนี้ต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ 6 คนดังกล่าว ซึ่งเป็น
เจ้าหน้าที่ความมั่นคง เข้ามามีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของประเทศ โดยข้อเสนอนี้ต้องระวัง เพราะหาก สว.ไปรับลูกหรือเห็นด้วย อาจลามไปยังอำนาจหน้าที่อื่นของ สว.ด้วย เนื่องจากในการแก้ไขต้องมีการแปรญัตติ หากมีการสงวนความเห็นว่าไม่เอา 6 คนนี้ ก็อาจเปลี่ยนไปทั้งหมดได้ สว.จึงต้องระวัง ซึ่งการที่ตนออกมาพูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นการหวงอำนาจ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แค่ 5 ปี ถ้าทำแบบนี้เป็นการยึดอำนาจ สว. หรือเปล่า เพราะอาจจะมีคนอื่นแปรญัตติอย่างอื่น ยึดอำนาจหน้าที่ของ สว.ไปหมดเลย ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในเวลา 5 ปี ถ้าจะแก้อะไร เสนอแก้อะไร อย่าแตะหมวด สว. ก็จะทำงานง่ายขึ้น เพราะทั้ง 6 คน อยู่แค่ 5 ปี ไม่ได้ยาวนาน และผ่านมา 2 ปีแล้ว
6) ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการ
วิสามัญฯ คนหนึ่ง เห็นด้วยกับแนวความคิดของนายชวน ในประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง การประชุมสภาพิจารณาญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตนอภิปรายชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งข้าราชการประจำมาเป็น สว. ขัดต่อหลักประชาธิปไตยสากล จะทำให้เกิดความลักลั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง ผบ.เหล่าทัพ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของข้าราชการการเมือง คือนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ขณะเดียวกัน ผบ.เหล่าทัพในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล กลับมีตำแหน่งเป็นสว.อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย มีอำนาจหน้าที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลด้วย จึงทำให้หลักการถ่วงดุล การแบ่งแยกอำนาจทางการเมืองผิดหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สรุป : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องต้องชี้แจง โดยต้องไม่ลืมว่า ทหาร กองทัพ และรัฐบาลปัจจุบัน มีความเกี่ยวข้องกันในประเด็น “การผนึกกำลังกันสืบทอดอำนาจ” ในสายตาของคนบางฝ่าย โดยวางกลไกให้ทหารยังคง “ควบคุมอำนาจ” แทบในทุกองค์ประกอบของการปกครองและการบริหารประเทศ ทหาร-จึงต้องสำเหนียกและระมัดระวังที่จะทำให้เกิดผลกระทบ โดยเฉพาะกับตัว “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่จะต้องถูกโยนให้เป็นผู้ที่ “รับผิดชอบ”เรื่องทั้งหมด
และเหนือกว่าความเกรงใจ พลเอกประยุทธ์ คือต้อง “เกรงใจประชาชน”!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี