กระแสข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้อง “บอส อยู่วิทยา” ยึดพื้นที่ข่าวทั้งหมด ดึงผู้คนทั้งประเทศไป “จม” อยู่กับข่าวนี้ เล่นเอาสองช่องข่าวที่ขายเรื่อง “น้องชมพู่” ค้อนตาปริบๆ เล่นเอาม็อบเยาวชนทั้งหลาย เกือบไม่ได้พื้นที่หน้าสำคัญของหนังสือพิมพ์ แต่ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะ “ยิ้ม” ที่มีข่าวนี้มาช่วยดึงกระแสออกจากเรื่อง “วีไอพี โควิด” ที่มีความขุ่นเคืองใจสะสมไว้ได้มากนัก เพราะเรื่อง “บอส” ก็ซ้ำเติมเรื่อง “วีไอพี” หรือ “อภิสิทธิ์ชน” ได้ แม้ไม่ใช่ความผิดใดๆ ของรัฐบาลนี้ แต่ปมนี้ก็ถูกเรียกร้อง กดดัน ให้ “แก้” โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันให้ได้
กระแส “ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม-ปฏิรูปตำรวจ” หวนกลับมาอีกครั้ง โดยที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ “ลุงกำนัน” ของ “ม็อบนกหวีด” หายจ้อย ไม่รู้อกเดาะจากการเสียหน้า ประกาศยึดกระทรวงแรงงาน แล้วสุดท้ายได้กระทรวง อว. มาแทนหรือเปล่า เลยปล่อยให้ข่าวนี้ปะทะกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลตำรวจโดยตรงรับไป
กระนั้นก็ตาม เรื่องร้อนๆ ที่เข้ามาในเวลานี้ มีหลายเรื่องที่อยากจะขอย้ำให้ทุกคนหันกลับมาจับตาและทบทวน ประกอบด้วย
1) การปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่คดี “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา” เปิดประเด็นนี้มาเต็มๆ ซึ่งเจ้าภาพเดิมคือ คสช. ที่ยึดอำนาจ ประกาศเข้าสู่กระบวนการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ตั้งสภาปฏิรูปขึ้นมา 2 ระลอก ใช้เงินไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไม่เห็นความคืบหน้า จะเสียคน/เสียหมา ทั้ง “ลุงกำนัน” ผู้การันตีตอนจะลงประชามติว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดี เป็นฉบับปราบโกง ส่วนการปฏิรูป ก็ได้มากกว่าที่เราเรียกร้อง และทั้งหัวหน้า คสช. ที่สังคมเปิดใจรับในเวลานั้นในฐานะ “คนกลาง” ที่จะเข้ามาทำการปฏิรูป แล้วคืนพื้นที่การเมืองให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองกับประชาชนผู้สนับสนุน ปรากฏว่าท่านอยู่ต่อ เขียนกติกามาให้ตัวเองและสมัครพรรคพวกเล่นอย่างได้เปรียบ วันนี้ ท่านจะพาตัวเองรอดจาก “กระบวนการยุติธรรมวีไอพี” ที่สังคมกำลังเดือดแค้นและพบว่า ไม่มีการปฏิรูปนี่หว่า ได้อย่างไร
2) แฟลชม็อบของนักเรียน นักศึกษา และแนวร่วมทั้งที่เปิดหน้าและซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง ยังไม่รวมไอ้ห้อย อีโหนทั้งหลาย จะเคลื่อนตัวกันต่ออย่างไร ปัญหาคือ ข้อเรียกร้องยังไม่หนักแน่นและเป็นเอกภาพ เช่น เรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่บอกให้ยุบสภา แล้วจะทำกันอย่างไร ในเมื่อกติกาการแก้รัฐธรรมนูญ มันต้องใช้สภาเป็นผู้แก้ เป็นต้น แถมสอดแทรก รบกวน ตัดกำลังตัวเองด้วยป้าย “จาบจ้างสถาบัน” อันสร้างปัญหาหนักให้พวกเขา ที่ไม่ยอม “ขจัด” มันออกไปอย่างจริงจัง ดึงเอากลุ่มอาชีวะ (ที่หลายคนเห็นแต่คุณย่าคุณยายไปสมทบซะเยอะ) ออกมาประกาศ “ประกบ” ว่าถ้ายังแสดงท่าทีบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ละก็ จะมีปัญหาแน่
3) อย่างไรก็ดี มีความเห็นในเรื่องเหล่านี้มาจาก นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มอาชีวะช่วยชาติเพื่อรวมพลังปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ว่า ถือเป็นสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Civil and political rights) ที่สามารถกระทำได้ทุกฝ่าย แต่ต้องเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ และไม่นำไปสู่การปะทะหรือสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงระหว่างประชาชน หรือใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate speech) ให้คนในชาติจนเกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไปดูแลและอำนวยความสะดวกเพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิการชุมนุมด้วยความปลอดภัยและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
“แต่ผมเห็นว่าสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีรัฐบาลดูแลทำหน้าที่อยู่แล้วในโครงสร้างรัฐและรัฐธรรมนูญไทย จึงไม่สามารถมีใครโค่นล้มสถาบันหลักของชาติได้ นอกจากการปฏิวัติ รัฐประหารโดยกองทัพเองที่มีกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งสงครามกลางเมืองไทยผ่านไปนานแล้ว ขบวนการคอมมิวนิสต์เลิกจับอาวุธและหันมาต่อสู้ด้วยการปฏิรูปการเมืองในระบบรัฐสภามานานแล้วนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมาและเรากำลังอยู่ในยุคการปฏิรูป ดังนั้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติได้ ตราบใดที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐเอง เราไม่ได้เป็นรัฐที่ล้มเหลวที่มีแต่กลุ่มก๊กทางการเมืองต่างๆ ในแผ่นดินที่ไร้รัฐ จนต้องมีกลุ่มอาชีวะบางส่วนออกมาปกป้องโครงสร้างหลักของรัฐโดยตรงแบบนี้
ซึ่งข้อควรระวังก็คือกลุ่มนักเรียนอาชีวะบางส่วนนั้นอย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายขวาจัดในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง เพื่อคงสถานะอำนาจรัฐที่มิชอบไว้ โดยศึกษาบทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลับไปสู่ยุคแห่งบาดแผลของแผ่นดินในครั้งนั้นอีก ซึ่งมีบทเรียนให้เห็นจากการใช้นักเรียนอาชีวะบางส่วนไปตั้งกลุ่มกระทิงแดงและนวพลขึ้นมาเพื่อบ่อนทำลายขบวนการนิสิตนักศึกษาที่ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย” นายเมธา กล่าว
และว่า ประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลอย่าใช้ทฤษฎีสมคบคิดนี้ในการคุกคามประชาชน การที่นายกรัฐมนตรีออกมาปรามบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะรัฐบาลอาจจะกลายเป็นผู้สร้างความรุนแรงเสียเองได้ เราไม่ต้องการสงครามกลางเมืองกลับมาใหม่ รัฐบาลจะอุ้มชูทั้งกลุ่มกระทิงแดงในยุคเก่าและทายาทกระทิงแดงในยุคใหม่นี้ไว้ไม่ได้ เพราะสังคมไทยต้องการการปฏิรูปที่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ
ทางออกคือต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ถูกกล่าวหาว่าสืบทอดอำนาจนี้โดยเร็วเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาต่างๆ ที่ตามมาได้ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงหาฉันทานุมัติจากสังคมและกลไกรัฐสภา
4) อันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ คนที่ควรจริงจังที่สุด คือ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำหนดไว้เป็นเงื่อนไขของการเข้าร่วมรัฐบาลด้วย ว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์เรื่องข้อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มนักศึกษาว่า พรรคปชป.เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของสภาผู้แทนราษฎร ควรเร่งสรุปประเด็นให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว หลังการศึกษาและรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายมาระยะหนึ่งแล้วและรายงานให้สภาได้รับทราบว่า มีประเด็นใดบ้าง เพื่อนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นรูปธรรม พรรคปชป.มีความชัดเจนมาแต่ต้นว่า อย่างน้อยที่สุดควรแก้ มาตรา 256 เพื่อเป็นการสะเดาะกุญแจให้สามารถเปิดประตูไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นได้ เพราะถ้าไม่แก้ก็เป็นการยากที่จะนำไปสู่การแก้ไขมาตราอื่นๆ เพราะมาตรา 256 เป็นมาตราที่ระบุให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากต้องใช้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภารวมกันแล้ว ยังจะต้องมีเสียงฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และต้องมีเสีย สว.รวมกันอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม
“อีกทั้งการแก้บางประเด็นยังจะต้องนำไปสู่การทำประชามติด้วย ประกอบกับก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯยังกำหนดให้มีกระบวนการท้วงติงได้อีก การแก้จึงเหมือนถูกล็อกไว้ด้วยกุญแจดอกยักษ์ที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ การแก้มาตรา 256 จึงเป็นเรื่องจำเป็นและเปิดประตูไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นได้ โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ ส่วนประเด็นอื่นๆพรรคปชป.มีจุดยืนชัดเจนว่า ประเด็นใดก็ตามที่นำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น พรรคก็พร้อมสนับสนุน” นายจุรินทร์ กล่าว
5) ต่อมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะกรรมาธิการร่วมแถลงหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและมีความเป็นเจ้าของมากขึ้น โดยมีหลายเรื่องที่จต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองและระบบกฎหมาย จึงมีความเห็นว่าจะต้องแก้ไข มาตรา 256 ก่อนเนื่องจากหลักเกณฑ์ในมาตรานี้ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยากลำบาก นอกจากนี้ กมธ.ยังมีความเห็นตรงกันว่าหากเป็นไปได้จะต้องยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับและอาจต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรืออะไรก็แล้วแต่รัฐบาลจะพิจารณาและหากเป็นไปได้ทางกมธ.ฯจะเพิ่มเติมหมวดแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเข้าไปอีกหนึ่งหมวดวันนี้ได้ตอบข้อเรียกร้องของน้องๆนักศึกษาไปแล้ว เพราะคณะกรรมาธิการไม่เคยนิ่งนอนใจนำข้อเสนอต่างๆมาพิจารณาประกอบและเรื่องมาตรา 256 ก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้วซึ่งก็ยืนยันว่าทำให้ทุกเรื่องและทำตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาแต่รวมถึงประชาชนทั่วไปและองค์กรอื่นๆ ด้วย
6) ด้าน นายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชน นิสิต นักศึกษาอยากเห็นรัฐธรรมนูญที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ดังนั้นการแก้ไขมาตรา256 จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญไม่ยุ่งยากและมีความเห็นว่าควรตั้ง ส.ส.ร.เหมือน ปี 2534 เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้ออกจากวิกฤติพฤษภาทมิฬ ซึ่ง กมธ. จึงขอให้กรรมาธิการทุกคนที่เป็นตัวแทนจากแต่ละพรรคไปพิจารณาประเด็นนี้ ซึ่งตนเสนอไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า หากดำเนินการตามนี้จะได้ 2 อย่าง คือ 1.ส.ส.ร.และ 2.มีการแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นปัญหาต่างๆ ไปควบคู่กัน ซึ่งหากทุกพรรคการเมืองและสว.เห็นพ้องด้วยขั้นตอนนี้จะเสร็จภายใน 5 เดือน ก็จะได้รัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไข จากนั้น ส.ส.ร.ก็จะยกร่างฉบับแก้ไขอีก 390 วัน ในอนาคตจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เห็นชอบโดยประชาชนและร่างโดยประชาชนซึ่งระหว่างดำเนินการตรงไหนที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมก็แก้ไขไป
เมื่อถามถึง โมเดลของส.ส.ร.จะเป็นแบบไหนนายโภคินกล่าวว่า ร่างที่กมธ.เสนอไว้ให้เลือกคนมาเป็นส.ส.ร. 200 คน ต้องมีอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน ถ้าจังหวัดใหญ่ก็มีได้หลายคน ซึ่งไม่มีใครทราบว่าบุคคลเหล่านี้จะเข้ามาแก้ไขอย่างไรและไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงได้ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม หากรัฐสภาจะมีการแก้ไขปรับปรุงอะไร ก็สุดแล้วแต่
7) ส่วนเรื่องร้อนของนายกฯ ว่าด้วยการ“ปรับคณะรัฐมนตรี” นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้าออกมาย้ำสาระสำคัญว่า ปรับ ครม. ประชาชนต้องได้ประโยชน์ พร้อมพูดถึง 10 ความกล้า! ที่รัฐบาลต้องทำด้วย คือ
1.กล้า..ช่วย SME ให้รอด เพื่อความอยู่รอดของลูกจ้างทั่วประเทศ และความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทย ต้องมีการอัดฉีดเงินช่วยเหลืออย่างมีระบบให้เข้าถึงเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะขนาดเล็ก-กลางได้ง่าย เร็ว และทั่วถึง
2.กล้า..รื้อการใช้เงินกู้ 4 แสนล้าน ยกเลิกแผนการใช้เงินฉุกเฉินเหมือนเป็นเงินงบประมาณปกติ เปลี่ยนจากโครงการที่ราชการเสนอมาเป็นมาตรการยิงตรงที่แก้ปัญหาได้แม่นยำกว่า มีผลต่อการเบิกจ่ายเร็วกว่า และมีโอกาสรั่วไหลน้อยกว่า
3.กล้า..กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างเข้มข้น สิ่งที่ต้องทำมากที่สุดในตอนนี้ คือหา “จุดสมดุลระหว่างการควบคุมโรคระบาด และเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ให้ได้ อย่าติดกับดักตัวเอง ต้องกล้าตัดสินใจ และมีความเป็นมืออาชีพในการจัดการ
4.กล้า.. “disrupt” ตัวเองด้วย GovTech ระบบราชการทั้งหมดต้องเปลี่ยนจาก “ระบบลายเซ็น” และระบบการเรียกเอกสาร เป็น e-government อย่างแท้จริง
5.กล้า..ทำงานเป็นมืออาชีพ รัฐบาลต้องเป็นหนึ่งเดียว เลิกชิงดีชิงเด่น เลิกต่างคนต่างทำ กระทรวงหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องทำงานอย่างสอดประสานกัน หากแต่ละกระทรวงไม่ทำงานแบบร่วมมือกัน แยกพรรคแยกพวกแย่งโควตา ประเทศไทยในเวลานี้ก็ยากที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6.กล้า..กำหนดยุทธศาสตร์ในแต่ละภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติและหลังโควิดอย่างเป็นรูปธรรม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ควรมองความเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมเกษตร และอาหารของไทย และ Target Group ที่มีศักยภาพต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์ Work From Thailand รวมไปถึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ และกลุ่ม SilverAge จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
7.กล้า..เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี ถึงเวลาแล้วที่ช่องทางหารายได้ของรัฐทำได้ยากมาก รัฐโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ต้องกล้าทบทวนทำให้ธุรกิจใต้ดิน พลิกมาเป็นธุรกิจบนดิน จากที่ผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้มีอิทธิพลไม่กี่คน เป็นกิจการที่มีการกำกับดูแลที่ดีและมีการเสียภาษีตามระบบ จากนั้นรัฐสามารถลดภาระที่ไม่เป็นธรรมของคนชั้นกลางลงได้
8.กล้า..สร้างงานและสวัสดิการถ้วนหน้า รัฐต้องมีมาตรการเร่งด่วนรองรับปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะแรงงานภาคบริการและกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ รัฐต้องพร้อมกระตุ้นการสร้างงานนับล้านงานทันที และนอกจากนั้นรัฐต้องให้ความสําคัญกับแรงงานของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ได้แก่กลุ่มคนทำงานด้าน Creative Entertainment คนวงการบันเทิง คนวงการศิลปะ ที่เป็น Freelance รวมไปถึงนักร้อง พนักงานร้านอาหาร และคนทำงานสถานบันเทิง ฯลฯ คนกลุ่มนี้ตกหล่น และถูกมองข้ามมาโดยตลอด เพราะมีลักษณะการทำงานอิสระไม่อยู่ในฐานข้อมูลเดิมของภาครัฐ
9.กล้า..สร้างอนาคตให้ภาคการเกษตร สร้างความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรมสำหรับอนาคต เช่น ใช้ พ.ร.ก.กู้เงิน พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรรายย่อย (โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 บ่อน้ำ), งบกองทุนเครื่องจักรทางการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานภาคเกษตร, Big Data ช่วย Agri Tech ให้ข้อมูลดินฟ้าอากาศที่แม่นยำ และวางแผนการปลูกได้ตามสภาพอากาศ และช่วยวางแผนความต้องการตลาด, ปฏิรูประบบสหกรณ์ ให้เป็นองค์กรทันสมัย เพื่อการเกษตรที่ทันสมัยช่วยเกษตรกรเข้าถึงตลาดโดยตรง
10. กล้า..สร้างระบบการศึกษาที่สร้างอาชีพให้เด็กไทย เน้นการศึกษาในสายวิชาชีพ จบแล้วต้องมีงาน และทำงานได้จริง เด็กอาชีวะต้องเป็นเด็กคุณภาพ เรียนจริง รู้จริง ทำงานได้จริง ที่สำคัญคือ เลี้ยงชีพได้จริง!
ที่สำคัญที่สุด วันนี้รัฐบาลต้องฟื้นคืนศรัทธา วันนี้ประชาชนเห็นแต่การแก่งแย่งกันเองภายในแต่ละพรรค และการชิงดีชิงเด่นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แต่ที่ยังไม่เห็นเลยก็คือความชัดเจนว่าประชาชนจะได้อะไรจากการปรับ ครม.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี