ความชั่วช้าสามานย์ของการเมืองในวันนี้ การใช้สื่อโซเชียลไล่ล่า คุกคาม บูลลี่ ดูหมิ่นดูแคลน บิดเบือนใส่ร้าย ลามไปถึง “ลูกสาวของนายกรัฐมนตรี”

1.การสื่อโซเชียลดังกล่าว มีตั้งแต่โพสต์ข่มขู่ “ตามหาลูกประยุทธ์... ถึงคิวลูกของคุณแล้ว” โดยคนระดับ สส.หญิง จากพรรคก้าวไกล ที่ชอบสร้างภาพว่านักการเมืองคนรุ่นใหม่

สส.หญิงคนนี้ มีลูกมีสามี แต่ทำเช่นนี้ สะท้อนจิตใจสกปรกมาก

ถึงวันนี้ หัวหน้าพรรค ที่สร้างภาพว่าเป็นคนรักลูก ก็ยังไม่มีท่าทีจัดการอะไรเลย

พฤติกรรมน่ารังเกียจมาก ไร้วุฒิภาวะ ไร้ความเคารพนับถือแม้แต่จุดยืนของตัวเอง

2.พฤติกรรมรุนแรงหนักในอีกหลายกรณี ทั้งคำพูด ทั้งเนื้อหาที่บิดเบือนใส่ความ ใส่ร้ายป้ายสี ตัดต่อภาพ โดยมี “ลูกสาวสองคนของนายกฯ”ตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้

นักวิชาการ นักการเมือง เอ็นจีโอ นักคุมครองสิทธิมนุษยชน ปิดปาก หายหัวกันเกือบหมด

ไม่กล้าออกมาท้วงติง ตักเตือน หรือประณามขบวนการนี้

ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าจะถูกบูลลี่ ถูกม็อบรุมถล่มว่าเป็นพวกสลิ่ม พวกไดโนเสาร์ พวกเผด็จการ จึงไม่กล้าแสดงจุดยืน แม้กระทั่งการคุกคามอุกอาจที่น่ารังเกียจขนาดนี้

คนที่นิ่งเฉย จะนับถือตัวเองได้อยู่หรือ? ยังจะอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยได้อีกหรือ? จะไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ?

3.เมื่อวานนี้ นายอภิวัฒน์ ขันทอง ทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน รับมอบอำนาจจาก นางสาวธัญญา และ นางสาวนิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่เผยแพร่ข้อความเท็จ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง โดยมี พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ

นายอภิวัฒน์เผยว่า ตนรับมอบอำนาจให้มาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคล นิติบุคคล และสื่อออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ รวมกว่าร้อยบัญชีที่ลงข้อมูลเท็จให้ร้ายเสียหาย ซึ่งมีคนหลงเชื่อ ไม่ไตร่ตรองนำไปแชร์ต่อและแสดงความเห็นอย่างเสียหาย ถือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลที่สาม เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงต้องการให้ตำรวจตรวจสอบว่ามีใครที่ทำผิดบ้าง

ส่วนกรณีมีนักการเมืองไปนำข้อมูลมาโพสต์แชร์ต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนจะพิจารณาว่าเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนหรือไม่

นายอภิวัฒน์บอกด้วยว่า ลูกความพยายามอดกลั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ล่าสุดเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะหาว่าทุจริตโกงเงินประเทศหลักหมื่นล้านซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย เป็นการให้ร้ายเสื่อมเสียกับวงศ์ตระกูล จึงได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ

4.คำชี้แจงของ นางสาวธัญญา จันทร์โอชา และ นางสาวนิฏฐา จันทร์โอชา

“...จากข้อกล่าวหาใน Social Media #ตามหาลูกประยุทธ์ ที่เป็นกระแสสังคมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้า นางสาวธัญญา จันทร์โอชา และ นางสาวนิฏฐา จันทร์โอชา ประสงค์ดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล หรือสื่อใดๆ ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ข้าพเจ้าทั้งสอง เช่นการกล่าวหาว่า ข้าพเจ้าทั้งสอง เปลี่ยนนามสกุล, อาศัยอย่างสุขสบายอยู่ในคฤหาสน์ต่างประเทศ, เป็นเส้นทางฟอกเงินของบิดาและอื่นๆ โดยปราศจากหลักฐานและไม่มีมูลความจริงเช่นนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวข้าพเจ้าทั้งสองและวงศ์ตระกูล ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง

ข้าพเจ้าทั้งสอง ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการงานของบิดา ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆทางการเมือง วันนี้ข้าพเจ้าทั้งสอง จำเป็นต้องปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี สิทธิของตนเองและวงศ์ตระกูล ข้าพเจ้าทั้งสองขอเรียนชี้แจง ในประเด็นข้อกล่าวหาต่างๆ ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น...”

ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองคนชี้แจงยืนยัน “ความจริงลูกประยุทธ์” อาทิ

ไม่เคยมีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลใดๆ ยังคงใช้ชื่อ ธัญญา จันทร์โอชา และ นิฏฐา จันทร์โอชา ตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบัน และอยู่ประเทศไทยมาโดยตลอด ใช้ชีวิตปกติอย่างประชาชนคนไทยทั่วไป

ไม่เคยเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย เคยเดินทางไปท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียว เมื่อวัยเด็ก

ทั้งสองเรียนจบชั้นประถมและมัธยม จากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนจบปริญญาตรี จาก คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เท่านั้น

ไม่ได้เรียนปริญญาโท และ ไม่เคยสอบตก เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.96 และ เรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้งคู่

ทั้งสองใช้ชีวิตตามปกติในประเทศไทย ไม่เคยพำนักอาศัยในประเทศอังกฤษหรือประเทศอื่นใดเป็นระยะเวลานาน ไม่เคยพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใดๆ ทั้งสองได้เดินทางไปเที่ยวประเทศอังกฤษครั้งล่าสุดในปีพ.ศ.2558 ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว โดยเข้าพักโรงแรมตามปกติ ในการนี้ ได้มอบหลักฐานการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย ให้กับพนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองไม่มีบัญชีธนาคารที่ต่างประเทศ มีเพียงบัญชีธนาคารในประเทศไทยเท่านั้น

เรื่องบิดาโอนเงินให้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือ ความลับใดๆ บิดาเป็นผู้ชี้แจงเองและแจกแจงที่มาที่ไปของเงินอย่างชัดเจนในการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.อย่างเปิดเผย ตั้งแต่เมื่อครั้งรับตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2557 และยังปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อทั่วไปหลายครั้งแล้ว โดยเงินส่วนนี้มีที่มาจากการขายที่ดินของพันเอกประพัฒน์ จันทร์โอชา (คุณปู่) และมีการแบ่งทรัพย์สินภายในครอบครัว ซึ่งที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวมามากกว่า 50 ปี

ทั้งสองไม่มีบัญชีส่วนตัวใน Social Media ใดๆ และ กลุ่มเพื่อนที่ติดต่อกันก็เข้าใจในสิทธิความเป็นส่วนตัวจึงไม่เคยแชร์ภาพใดๆและไม่ต้องการให้มีบุคคลใดนำภาพไปแอบอ้างใช้หาประโยชน์ ไม่ได้ต้องการเป็นที่รู้จักหรือเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกใคร เพราะ ไม่ต้องการได้รับอภิสิทธิ์หรือเพื่อรับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของบิดาหากมีใครแอบอ้างว่ารู้จัก สามารถช่วยเหลือเพื่อรับผลประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นเรื่องเท็จทั้งหมด

“...ข้าพเจ้า นางสาวธัญญา จันทร์โอชา และ นางสาวนิฏฐาจันทร์โอชา ต้องการใช้สิทธิทางกฎหมายโดยการฟ้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด กับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ทั้งหมด ทั้งผู้ที่โพสต์และแชร์ ในทุกช่องทาง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Youtube ฯลฯ รวมถึงสื่อ หรือ พื้นที่สาธารณะอื่นๆ โดยไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าทั้งสองประสงค์ให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างและบรรทัดฐานของการใช้ Social Media ในประเทศไทยว่า ผู้ใดก็ตาม ไม่มีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลเท็จ,ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ผู้อื่น โดยปราศจากหลักฐานและในขณะเดียวกันก็ไม่ควรมีผู้ใดตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จากการหลงเชื่อข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์แยกแยะ เพียงเพราะความอคติ และ ความเกลียดชัง อีกต่อไป

หากผู้ใดมีหลักฐานการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทั้งสองเพิ่มเติม ขอความร่วมมือส่งข้อมูลมาที่ทนายความของข้าพเจ้าทั้งสอง ทางอีเมล law.one555@gmail.com เพื่อรวบรวมและดำเนินการฟ้องร้องต่อไป” - นางสาวธัญญา จันทร์โอชา และ นางสาวนิฏฐา จันทร์โอชา

สารส้ม