วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยเคยคิดด้วยความปริวิตกว่า สังคมนี้คงจะสูญสิ้นพลังบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว เพราะนิสิต นักศึกษา ปัญญาชนจำนวนไม่น้อยต้องล้มตายเพราะถูกสังหาร และอีกจำนวนไม่น้อยก็ต้องหนีตายเข้าไปอยู่ในป่าในเขา
สังคมไทยเกิดความหวาดวิตกในเรื่องนี้มายาวนานอย่างน้อยประมาณ 40 ปี และแล้ววันหนึ่งสังคมไทยก็เกิดความหวังขึ้นมาอย่างริบหรี่ รำไรๆ เมื่อได้พบได้เห็นว่านิสิต นักศึกษาจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความสนอกสนใจทางการเมือง ทั้งๆ ที่สังคมไทยก็เกือบจะหมดหวังไปแล้วเมื่อได้พบว่าคนที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นคนเดือนตุลาฯ (แต่ส่วนมากเป็นคนเดือนตุลาฯจำพวกกำมะลอ หัวมังกุ ท้ายมังกร) ที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับนักการเมืองจำพวกโกงชาติสะบัดช่อ แล้วแถมคนที่อ้างว่าเป็นคนเดือนตุลาฯ จำนวนหนึ่งดันเข้าไปเป็นรัฐมนตรีให้กับรัฐบาลทรราชอีกด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ความหวังของคนไทยที่เคยเรืองรองกลับมอดดับลับลงไปอีกวาระหนึ่ง
แต่แล้วความหวังของคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยที่เคยดูเสมือนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็กลับเกือบจะมอดดับลงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นว่าคนที่พวกเขาคิดและเชื่อว่าจะเป็นพลังบริสุทธิ์ในยุคใหม่ กลับทำตัวไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสารใดๆ เพราะหลายต่อหลายครั้ง สาธารณชนจับได้ไล่ทันว่ากลุ่มคนที่น่าจะเป็นความหวังของสังคม กลับทำตัวไม่ต่างไปจากคนเสียปัญญา สิ้นปัญญา ทำตัวไร้กาลเทศะ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร แถมทำตัวไม่ต่างไปจากคนไร้การศึกษา
โดยระยะหลังๆ นี้ สาธารณชนได้พบว่าคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่านักเรียน นิสิต นักศึกษา (รวมความเรียกว่าปัญญาชน)มีพฤติกรรมประหลาดจนเข้าขั้นน่าสังเวช น่าสมเพชและน่ารังเกียจ โดยเฉพาะการที่คนบางคนในกลุ่มนี้ใช้คำพูดที่ไม่น่าเชื่อว่ามาจากปากที่กลั่นกรองมาจากสติปัญญาของคนที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชน เช่น การที่คนกลุ่มนี้ทำคลิปโดยชูสามนิ้ว แล้วเปรียบเทียบว่าอาชีพโสเภณี (แต่เด็กกลุ่มนี้ไม่ใช้คำว่าโสเภณี แต่ใช้คำที่ต่ำกว่านั้นมากมาย เข้าใจว่าคุณผู้อ่านคงนึกออกว่าคำที่ว่านั้นคือคำว่าอะไร) ไม่ต่างจากอาชีพนักการเมือง แพทย์ พยาบาล ข้าราชการ และอาชีพอื่นๆ โดยอ้างแล้วดูเสมือนว่าเป็นการอ้างที่มีตรรกะสูงส่ง ว่าทุกอาชีพมีความสำคัญ ไม่มีอาชีพไหนสูงหรือต่ำกว่ากัน แถมยังมีคำที่ดูแล้วคนพูดคงนึกว่าเท่เสียเต็มประดาคือ ไม่มีอาชีพไหนต่ำถ้าทำด้วยใจสูง
การพูดเช่นนี้ หากฟังผ่านๆ โดยไม่ใช้วิจารณญาณก็อาจทำให้พาลเข้าใจไข้วเขวได้ว่า เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยสติปัญญา แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่าผู้ที่พูดเรื่องนี้มีเจตนาแอบแฝง และไม่ได้มีความจริงใจในการเปรียบเทียบเช่นนั้น รวมถึงไม่ได้เชื่อจริงๆ ว่าการเป็นโสเภณีเป็นความสูงสุดหรือเป็นความน่าภาคภูมิใจ
แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือ บรรดาคนที่คอยเชียร์ผู้พูดด้วยคำที่ไร้สาระเช่นนั้น ต่างตบมือและโห่ร้องแสดงความสะใจ บางรายลุกขึ้นเต้นเร่าๆ ด้วยความคิดว่าตนเองแสดงออกอย่างผู้มีภูมิปัญญาสูงสุด ซึ่งเสมือนกับว่าต้องการให้อาชีพโสเภณี(ขอย้ำว่าเขาไม่ใช้คำว่าโสเภณี แต่ใช้คำที่ต่ำกว่า) เป็นอาชีพที่สมควรได้รับการยกย่อง เชิดชู แต่ในความเป็นจริงเมื่อสังเคราะห์วิธีการพูด การใช้คำพูด บริบทในการพูด และกิริยาอาการที่แสดงออกเมื่อพูด ทำให้สามารถจับได้ว่าผู้พูดจงใจเสียดสี เย้ยหยัน รวมถึงแสดงความจงเกลียดจงชังคนบางกลุ่มอย่างชัดเจน แต่กลับนำเอาความเป็นโสเภณีมาเป็นเครื่องกระทบกระเทียบเปรียบเปรยแดกดัน
คนที่มีสติปัญญาขอให้ผู้ที่เปรียบเทียบการเป็นโสเภณีกับอาชีพอื่นๆ จงรับรู้ไว้ด้วยว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้ไม่ใช่การเปรียบเทียบที่เหมาะสม จนเกิดคำถามว่าทำไมจึงนำเอาความเป็นโสเภณีไปเปรียบเทียบกับอาชีพอื่น หากคนพูดเรื่องนี้มั่นใจและจริงใจว่าการเป็นโสเภณีเป็นสิ่งดีงามแท้จริงแล้ว ทำไมคนที่พูดเรื่องนี้ไม่เป็นโสเภณีเสียเอง หรือหากเห็นว่าดีจริงแท้แน่นอนแล้ว ก็ต้องผลักดันให้ญาติพี่น้องพี่ป้าน้าอาของตนเองเป็นโสเภณีให้หมดทั้งตระกูลเสียด้วย
แล้วยังมีคำถามอีกว่า การแสดงออกเช่นนี้หรือคือการแสดงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย และเป็นความศรัทธาในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คนที่รักและศรัทธาประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะไม่มีวันแสดงอาการหยามเหยียดใครต่อใครแม้แต่น้อย แต่จะเคารพบุคคลอื่นๆ ด้วยใจจริง และยอมรับความเห็นที่แตกต่างด้วยความสุจริตใจ
แต่เมื่อพิจารณาจากการกระทำและคำพูดของคนกลุ่มนี้แล้วจะพบว่าเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชัง การแบ่งพรรคแบ่งพวก มองเห็นว่าคนอื่นคือผู้ทำผิดในทุกสถาน แล้วทำตัวเสมือนว่าตนเองเป็นผู้ที่ถูกต้องที่สุดในโลก ฉลาดล้ำที่สุดในจักรวาล รู้ปัญหาสังคมอย่างลึกซึ้ง แล้วก็ยังหลงตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองจะเข้ามาล้างมลทิน ล้างบาป ล้างความชั่วช้าทั้งปวงของประเทศไทย
คนกลุ่มที่ว่านี้แสดงอาการดูถูกหยามหมิ่นได้แม้กระทั่งพ่อแม่ บรรพบุรุษของตนเอง บางรายก่นด่าบรรพบุรุษว่าเลวทราม สร้างปัญหาให้กับสังคม แล้วทำให้พวกเขาต้องมารับหน้าที่แก้ปัญหาให้สังคม ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความอกตัญญูอย่างที่สุด คนกลุ่มนี้ไม่เคยคิดบ้างเลยแม้แต่น้อยว่าหากไม่มีคนรุ่นก่อนได้สร้างสังคมไว้ให้พวกเขา และไม่ได้สร้างบ้างแปงเมืองไว้ให้พวกเขา พวกเขาจะมีปัญญาหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งเช่นทุกวันนี้หรือ
คนที่ก่นด่าบรรพบุรุษว่าโง่เง่า เขลาปัญญาหลงตัวเองว่าเก่งฉกาจ ฉลาดล้ำ ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนั้นหาได้มีประสบการณ์ชีวิตแม้แต่น้อย แค่อาศัยอ่านความเห็นประหลาดๆ จากหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วก็หลงใหลได้ปลื้ม แถมยังคลั่งไคล้จนไร้สติ
คนพรรค์อย่างนี้ไม่เคยรู้ว่าประวัติศาสตร์ของไทยมีรายละเอียดอย่างไร ไม่เคยเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แถมบางรายยังปากเปราะเราะร้ายกล่าวหยามหมิ่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย คนไร้สติจำพวกนี้เลือกเชื่อสิ่งที่เขาไม่เคยรู้จัก ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเห็นตัวตน แต่กลับหลงเชื่ออย่างงมงาย โดยไม่เคยสอบถามหรือศึกษาถึงที่มาที่ไปของคนที่เขาเลือกเชื่อ ซึ่งก็นับว่าเป็นความล้มเหลวขั้นแรกของชีวิตของพวกเขาที่จะนำพาให้พวกเขาต้องประสบกับหายนภัยในอนาคตอันใกล้ คนจำพวกนี้เลือกเชื่อคนทำผิดกฎหมายที่หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน แล้วหลงเชื่อว่าคนทำผิดคือคนดี ถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแก อันที่จริงหากคนจำพวกนี้จะคิดสักนิดก็คงจะไม่หลงเชื่อแบบคนไร้สติ เพราะหากเขาเชื่อว่าผิดกฎหมายเป็นคนดีแต่ไม่สามารถอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ ก็เท่ากับเขาดูถูกพ่อแม่ของพวกเขาว่าเป็นคนเลว เนื่องจากประเทศนี้คนดีไม่สามารถอยู่ได้
คนจำพวกนี้ไม่มีความรู้อื่นใด นอกจากเรื่องเลื่อนลอยในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แต่ทระนงหลงตัวเองว่าตนเองเป็นผู้มาปลดทุกข์ปราบเข็ญให้แผ่นดินนี้ ซึ่งหากคนจำพวกนี้จะหันกลับไปศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของแผ่นดินนี้ให้ละเอียดกว่านี้ เขาจะรู้ว่าแผ่นดินนี้มีคนไร้สติสิ้นปัญญาจำพวกเดียวกับเขามาแล้วมากมาย แล้วคนเสียสติจำพวกเดียวกับเขา ที่เขาหลงบูชาว่าเป็นอริยบุคคลก็คือซาตานของสังคมไทย
พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเหมาะ อะไรไม่เหมาะ แต่เขาหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองคือผู้ล้างทุกข์ให้แผ่นดินไทย แต่เขาหารู้ไม่ว่าเขาตกเป็นเครื่อมือของซาตานที่เคยคิดทำลายแผ่นดินไทยมาแล้ว แต่เมื่อซาตานทำเลวไม่สำเร็จ ก็จึงหลอกล่อให้เด็กไร้สติทำการอุบาทว์ต่อ ส่วนเด็กไร้สติก็คิดว่าการทำสิ่งเลวทรามคือความโก้เก๋ เป็นความยิ่งใหญ่ที่สุดเปรียบประมาณ
ถ้าหากเด็กกลุ่มนี้ฉุกคิดสักนิดก่อนจะทำเรื่องไร้สติก็จะไม่เกิดปัญหาต่อตัวเองตามมา สิ่งที่เขาน่าจะฉุกคิดได้เองก็คือ หากสิ่งที่เขาเห็นว่าเลวร้ายจนเกินจะรับได้ดำรงอยู่ในสังคมไทยจริงๆ ทำไมคนไทยรุ่นทวดเทียด ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ของพวกเขาจึงทนรับสิ่งเหล่านั้นได้ คนรุ่นเก่าโง่เง่าเขลาขลาดเสียจนไม่รู้ว่าอะไรดีหรือชั่วเลยกระนั้นหรือ หรือเขาคิดว่าพ่อแม่ปูย่าตายายของเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่แสนโง่ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเล่าลูกหลานของคนโง่เขลาเบาปัญญาจึงจะกลายเป็นคนมีปัญญาหลักแหลมไปได้
อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องเลวที่คนรุ่นใหม่จะลุกขึ้นทำสังคมให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น งดงามขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเหล่านั้นต้องไม่ลืมว่า เขาจะต้องดูแลสิ่งรอบๆ ตัวของเขาก่อน และต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ก่อนที่จะแค่นทำตัวแก่แดดแก่ลมทำเต้นแร้งเต้นกาลุกขึ้นประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีกว่าเดิมเพราะไม่มีวันที่คนซึ่งไม่มีปัญญาดูแลตัวเองจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองหรือสังคมได้ เพราะแม้กระทั่งตัวเอง เขายังไม่มีปัญญาดูแลตัวเองเลย แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลสังคม
ก่อนจะป่าวร้องว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ขอให้คนที่ลุ่มหลงตัวเองกลับไปดูก่อนว่าสังคมในโรงเรียนที่ตนยังเวียนว่ายอยู่นั้นมันขาวสะอาดบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน แล้วอย่าลืมถามตัวเองว่า ตนเองเป็นปัจจัยหนึ่งของความเลวร้ายในโรงเรียนหรือไม่ เช่น ขอให้กลับไปดูว่าในโรงเรียนยังมีการทุจริตการสอบหรือไม่ นักเรียนเข้าเรียนและเลิกเรียนตรงเวลาหรือไม่ นักเรียนทำการบ้านด้วยตนเองหรือเปล่า หรือว่าลอกกันทั้งโรงเรียน และดูด้วยว่าในโรงเรียนมีการใช้ความรุนแรงระหว่างคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดๆ แล้วถูกใช้กำลังบีบบังคับด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยต้องยอมจำนนหรือไม่ หากตอบว่าโรงเรียนที่ตนเองเรียนอยู่ยังมีปัญญา แล้วคนที่ก่อปัญหาก็คือตนเองแล้วละก็ ขอร้องเถอะ อย่างสาระแนออกมาประท้วงใดๆ เลย เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย แล้วขอให้ระลึกไว้เสมอว่า คนที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ย่อมไม่มีวันดูแลสังคมได้ แล้วถ้ายิ่งตนเองยังเป็นส่วนหนึ่งของความเลวทรามในสังคมเล็กๆ ที่ตนเองอาศัยอยู่ แล้วทำปากกล้าบ้าบอว่าจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงประเทศแล้ว ขอบอกได้คำเดียวว่าเลิกเพ้อ เลิกบ้าเถอะ จงตั้งสติเสียก่อน ก่อนจะแสดงความไร้ปัญญาจนทำให้สังคมเกิดความสังเวช

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี