สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณพ.ศ. ๒๕๖๔ ในวาระแรกเมื่อวันพุธที่๑ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีหลักการและเหตุผลที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
หลักการ
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๔ เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เหตุผล
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
แต่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาในขั้นตอนการแปรญัตติเสร็จแล้ว และเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่สองและสามในวันที่ ๑๖-๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ ปรากฏว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ปรับลดจำนวนเงินที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบในหลักการในวาระ ๑ ที่ตั้งไว้ไม่เกิน ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยได้มีการปรับลดวงเงินไปจำนวนหนึ่งคงเหลือตามมาตรา ๔ เป็นจำนวนเงินใหม่ดังนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรา ๔ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ต้ั้งเป็นจำนวน รวมทั้งสิ้น ๓,๒๘๕,๙๖๒,๔๗๙,๗๐๐ บาทจำแนกเป็นรายจ่ายตามที่จะระบุต่อไปในพระราชบัญญัตินี้............................................
(๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐)
แต่จำนวนเงินที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในหลักการ วาระที่ ๑ คือ ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
นับได้ว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ จนถึงปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๓ ไม่เคยมีกรรมาธิการวิสามัญชุดใดเลยได้ปรับลดจำนวนเงินที่สภาได้เห็นชอบแล้วในวาระที่ ๑และได้เขียนหลักการความว่า
“ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ..............เป็นจำนวนเงินไม่เกิน...................บาท”
ดังเช่นเขียนไว้ในหลักการประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ เป็นถ้อยความเดียวกันทุกประการที่เคยได้เขียนไว้แต่เดิม
ฉะนั้นที่อ้างว่าในหลักการเมื่อมีคำว่า “....เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท” จึงหมายถึงห้ามการแปรญัตติเกินกว่าจำนวนเงินนี้ไม่ได้ แต่ไม่ห้ามที่จะแปรญัตติตัดลดจำนวนนี้แม้สภาจะเห็นชอบในหลักนี้แล้วในวาระแรกก็ตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๔ วรรคแรก บัญญัติไว้ ดังนี้
“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ.......สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนเงินในรายการมิได้”
และมีข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ออกมาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแปรญัตติไว้เหมือนกันทุกข้อบังคับทั้งในอดีตและข้อบังคับฉบับปัจจุบันว่า “ห้ามแปรญัตติที่ขัดแย้งต่อหลักของพระราชบัญญัตินั้นๆ”
มาตรา ๑๔๔ วรรคแรก ที่ใช้เฉพาะในชั้นพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายของกรรมาธิการและสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สองเท่านั้นคือการห้ามการแปรญัตติที่จะเป็นผลให้เพิ่มจำนวนเงินงบประมาณรายจ่ายมากขึ้นกว่าจำนวนที่สภาเห็นชอบจำนวนเงินในหลักการ แต่อาจแปรญัตติตัดลดรายจ่ายอื่นๆ ของหน่วยรับงบประมาณที่มิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพัน คือ ๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ๒) ดอกเบี้ยเงินกู้ ๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
และเมื่อรวมปรับลดทั้งสิ้นแล้วตามมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญแล้ว จะต้องนำไปจัดสรรให้ส่วนราชการต่างๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ เพื่อคงงบประมาณไว้เป็นจำนวนเท่าเดิมตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณซึ่งที่ประชุมสภาได้มีมติรับหลักการแล้ว
อนึ่ง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ วาระที่ ๒ ในมาตรา ๔เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ได้มีมติเสียงข้างมาก๒๖๔ ต่อ ๑๔๐ งดออกเสียง ๑๘ ไม่ลงคะแนน๑ เสียง เห็นชอบการแก้ไขวงเงินงบประมาณปี ๒๕๖๔ จาก ๓.๓ ล้านล้านบาท เป็น ๓.๒๘ ล้านล้านบาท ตามที่กรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างมากมีมติแก้ไข
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี