ปฏิบัติการเชิงอำนาจในการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันแม้ปฏิบัติตามขั้นตอนสากลทุกประการ แต่ก็กลายเป็น “ภาพความรุนแรง” ในความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ และคนขั้วตรงข้ามรัฐบาล ตลอดจนคนกลางๆ ที่อยากเห็น “การพบกันครึ่งทาง”เพื่อ “หาทางออกจากความสุดโต่ง” ที่กำลังสาดใส่กัน
ฝ่ายหนึ่งยึดนิยาม ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความเชื่อว่าอีกพวกเป็นพวก “ชังชาติ” หรือ “ล้มเจ้า”ซึ่งก็โชคร้าย ที่ฝ่ายดังกล่าวก็แสดงกิริยาหยาบช้า ด่าทอพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ประจักษ์อย่างไม่อาจโต้แย้ง บนแนวคิด “รื้อสร้างประเทศไทย” ที่ดันไปใช้คำว่า “สานต่อภารกิจ 2475” จึงยิ่งตอกย้ำความเป็นศัตรูกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งปลุกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาปกป้อง จนพื้นที่ตรงกลางในการ “รีโนเวท” ประเทศไทย สูญสลายไป
ผมชอบแนวคิดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แทบเอาชีวิตไม่รอดจากม็อบ นปช. ซึ่งให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ตอนหนึ่งว่า “...วันนี้ สิ่งที่ผมสัมผัสชัดเจน คือ ประเด็นการต่อสู้กลายเป็นประเด็นที่เป็นตัวนิยามความเป็นคนรุ่นใหม่ ความเป็นคนรุ่นนั้น คนในวัย 15-35 ปีคิดไปในทางเดียวกันชัดเจน คนที่อายุ 11-14 ปีตอนนี้ จะเติมในฝ่ายที่จะคิดแบบคนอายุ 15-35 คิด
...ผมมองไม่เห็นว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะปฏิเสธความหวัง กรอบความคิดของคนกลุ่มนี้ คนเป็นรัฐบาลและผู้มีอำนาจต้องคิด ต้องฟัง ไม่ได้แปลว่าต้องเห็นด้วย หรือต้องตอบสนองทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยต้องแสดงความเข้าใจ
...อย่าไปคิดเพียงว่า อาจจะมีการแสดงออกของแกนนำบางคน บางกลุ่มที่อาจจะมีความไม่เหมาะสม หรือเลยเถิด เพราะผมเชื่อว่า คนที่มาชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปหมดกับสิ่งที่แกนนำพูดบนเวที แต่ถามใจเขาว่าการมาของเขามีเหตุผลไหม เขามีเหตุผลอยู่ในใจ ถ้ายิ่งเขาไม่มา เขายิ่งไม่มีวันที่จะได้รับคำตอบจากคนที่มีอำนาจ
...ผมค่อนข้างผิดหวังที่ไม่มีความพยายามที่จะดึงเอาแก่นของความรู้สึก ของคนกลุ่มใหญ่ตรงนี้ เข้ามาเพื่อหาทางออกและตอบสนอง ผมคิดว่า มีทางออก เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญ แม้กระทั่งเรื่องละเอียดอ่อนกว่านี้ ซึ่งมีวิธีการบริหารจัดการได้ ไม่ใช่ในที่สุด ก็กลับไปเถียงกันไปกันมาว่า ชังชาติหรือเปล่า รอหมายจับรอถูกขัง อีกฝ่ายหยิบเป็นประเด็นว่ามีการคุกคาม หรือเลือกปฏิบัติวนเป็นวงจรและตอกย้ำช่องว่างที่มีอยู่”
ประชาชาติถามว่า “ถ้าคนตั้งประเด็นว่าคุณอภิสิทธิ์พูดอย่างนี้ได้ เพราะไม่ได้มีฐานะเป็นรัฐบาล แต่ตอนเป็นรัฐบาลอาจจะดีลไม่ได้” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ตอบว่า
“ผมไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จนะครับ เพียงแต่ผมไม่เห็นสัญญาณของความพยายามหรือความเข้าใจ ตอนผมเป็นนายกฯเป็นนายกฯคนเดียวที่พร้อมมานั่งเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม เพียงแต่ไม่สำเร็จ ไม่อยากว่าย้อนกลับไปเพราะอะไร แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราพยายามที่จะหาทางออก และผมเสนอยุบสภาพร้อมวันที่ให้ด้วยเพื่อหาทางออก
...แต่ขณะนี้ฟังท่านนายกฯมา ผมยังไม่ได้ยินอะไรเลยที่บ่งบอกว่า ท่านเห็นว่า คนที่มาชุมนุมมีประเด็น สะท้อนว่าท่านนายกฯ รู้ เข้าใจว่า เขาเรียกร้องอะไร เพราะอะไร ถึงแม้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่มี เพียงแต่บอกว่า ชุมนุมได้ คิดต่างได้ ทำตามกฎหมาย อย่าวุ่นวาย แต่เนื้อหาสาระไม่มี ถ้ามีก็กลับไปทำนองว่า ต้องคำนึงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
อาการ “ไม่ได้ยินความต้องการ” ของฝ่ายรัฐ บวกกับอาการ “ก้าวร้าว หยาบช้า” ของฝ่ายผู้ชุมนุมส่วนหนึ่ง กลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ที่ผลักตัวเองออกจากกัน และต้องการเพียง “ชัยชนะ” ของตัวเอง ซึ่งอาจเป็น “ความพ่ายแพ้ของประเทศชาติ” ก็ได้
คนรุ่นใหม่ มองคนรุ่นเก่าเป็น “กรอบ” และ “กรง”ที่ต้อง “รื้อ” หรือก้าวร้าวหน่อย ก็ต้องบอกให้ “พังมันลงมา”ดูได้จากข้อความที่แพร่หลายกันในโลกออนไลน์นี้ครับ(โปรดอ่านอย่างตั้งใจ เพื่อเข้าใจเสียงบางเสียง และการตอกฝังกรอบคิด (Concept) ลงใน “จิต” ของคนกลุ่มนี้)
“จดหมายถึงเพื่อนเจนวายที่กำลังเพิกเฉยต่อการเมืองและออกตัวว่าเป็นกลาง
...ถึง “เพื่อน” ที่อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่เรารู้จัก แต่คือเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกับเรา เพื่อนที่อาจเป็น “คนรุ่นใหม่” ในตลาดแรงงาน หรือ “เคยเป็นคนรุ่นใหม่” เพื่อนที่โตมาในช่วงเวลาเดียวกัน โตมาแบบที่เราต่างเห็นสังคมที่มันผิดเพี้ยนเหมือนกัน แต่อะไรที่ทำให้คุณถึงสามารถ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก แล้วบอกว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่ในประเทศทุกวันนี้ “มันยังโอเค” อยู่ และพร้อมจะนิ่งเฉยต่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้
...เพื่อนจ๋า ตั้งแต่เด็ก คุณจำได้ไหม? พวกเราโตมาเหมือนกันเลย เราอยู่ในโรงเรียนที่ครูไม่เคยแม้แต่จะเห็นว่าเรามีสิทธิ์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ห้ามถาม ห้ามเถียง คุณจำได้ไหม วันที่เรานั่งบ่นครูฝ่ายปกครองที่ละเมิดร่างกายพวกเรา คุณจำได้ไหมวันที่น้ำตาไหลที่เราต้องถูกตัดผมจนเบี้ยว วันที่เราต้องท่องจำความรู้ที่ไม่เคยเข้าหัวสมอง วันที่เราโดนบังคับให้ทำอะไรมากมายโดยไม่มีการอนุญาตให้เราตั้งคำถาม
...พวกเราหลายคนผ่านมันมาได้ พวกคุณบางคนผ่านมันมาได้ดีเพราะว่าคุณเรียนเก่ง เพราะว่าคุณความจำดี เพราะว่าคุณทำข้อสอบได้ คะแนนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่มันก็ทำให้คุณผ่านระบบอำนาจนิยมแบบนี้มาได้ โดยที่รู้สึกว่า “มันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่” เพราะคุณคือคนที่รอด แต่เห็นไหม ว่าความไม่เป็นธรรมมันฝังอยู่ตั้งแต่เด็ก ระบบแพ้คัดออก ระบบเด็กเก่งครูรัก ระบบที่ทิ้งคนอีกมากมายไว้ข้างหลัง เราถูกทำให้การตั้งคำถามเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
...พอพวกเราโตขึ้น ได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ลิ้มรสเสรีภาพของการเติบโต ก็เกิดเหตุการณ์การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ถูกยิงตายกลางถนนโดยอำนาจรัฐที่อ้างความชอบธรรมในการฆ่าประชาชน แล้วก็ชวนพวกเราออกไปเฉลิมฉลองล้างเลือดคนตาย
...เพื่อนจ๋า..พวกเราเห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ พวกเราล้วนเป็นพยานทางประวัติศาสตร์แห่งการฆ่าประชาชนไม่ใช่หรือ
...ในเวลานั้นพวกคุณอาจรู้สึกว่าคนพวกนั้นสมควรตาย พวกคุณอาจรู้สึกว่าคนกลุ่มนั้นไม่ควรจะอยู่ในสังคม หรือเป็นขยะ เพียงเพราะแค่ว่าเค้าอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าคุณ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ฐานะ พื้นเพ พวกคุณเรียกเค้าว่า “ควาย” อย่างสนุกปาก เพราะคุณในเวลานั้น อาจมองว่าพวกเค้าไม่ใช่คน
...แต่ยังไงเราก็ไม่เชื่อหรอก ว่าพวกคุณจะมีความคิดที่อัปลักษณ์แบบนั้นด้วยตัวคุณเอง มันต้องมีกลไกอะไรที่สร้างความคิดแบบนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตมาพวกเราถูกเลี้ยงให้เชื่อง หรือถูกทำให้เชื่อว่าการมีสถานะสังคมที่ดีกว่าเท่ากับการมีความเป็นคนมากกว่างั้นหรือ วันนี้พวกคุณทำงานบริษัทใหญ่โต เงินเดือนพวกคุณอาจเริ่มตั้งแต่ 30,000 50,000 70,000 วันนี้พวกคุณบางคนอาจมีเงินเดือนเป็นแสน มันคง “ง่ายกว่า” ที่คุณจะคิดว่าคุณมีชีวิตที่ปลอดภัยแล้ว พวกคุณอาจเชื่อว่าคุณปลอดภัยทางเศรษฐกิจ ปลอดภัยทางสังคม ปลอดภัยจนไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว
...คุณเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังจะเกิดอาจจะกระทบต่อ “ความสบาย” ของคุณ อาจกระทบต่อ“ความพยายาม” ที่คุณสั่งสมมาหลายปี และคิดว่า เด็กๆ วันนี้กล้าดียังไง ที่มาบอกว่า สิ่งที่คุณเชื่อมันไม่มีจริง
...เพื่อนจ๋า ไอ้การที่คุณหวงแหน “ความปลอดภัย”ในชีวิตคุณเหลือเกิน จริงๆ แล้วมันคือ “ความกลัว” ต่างหากความกลัวที่สถานะที่คุณเคยเชื่อว่ามันมั่นคงจะเปลี่ยนไปคุณเลยเลือกที่จะก่อกำแพง กำแพงที่เหมือนจะสูง แต่แท้จริงเป็นแค่กำแพงกระจกใสบางๆ ที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าชีวิตคุณจะปลอดภัย กำแพงที่คุณคิดว่าถ้าคุณจ่ายเงินเข้ากองทุนซื้อประกันเอกชน ยอมทำงานที่เกลียดเพื่อเพิ่มฐานเงินเดือนอดหลับอดนอน ยอมลำบากวันนี้ สบายวันหน้า ยอมทำอะไรก็ได้ที่ใช้หัวใจน้อยลงเพื่อแลกกับเงินในบัญชีที่มากขึ้น แลกกับปลอกคอที่บอกว่าคุณอยู่เหนือกว่าคนอื่น คุณเชื่อว่ายังไงคุณก็จะรอดยังไงระบบก็จะไม่ทิ้งคุณ
...กำแพงมันสูงจนทำให้คุณ ลืมคิด ลืมมอง ถึงจุดที่คุณยืนอยู่ คุณอาจบอกว่า ไม่ใช่ความผิดคุณที่คุณยืนตรงนี้ คุณอาจบอกว่ามันมาจากความพยายาม ความเก่ง และความโชคดีของคุณแค่นั้นเอง แต่รู้มั้ย ไอ้ความโชคดีนี่แหละ ที่มันช่วยคุณอย่างมหาศาล ความพยายามและความเก่งของคุณอาจไม่มีจริงเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่คุณเกิดมามีบ้านอยู่ มีเงินใช้ มีข้าวกิน มีเวลาพักผ่อนแค่นี้คุณก็เริ่มต้นไกลกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้หลายเท่าตัว หลายเท่าตัวจนคุณไม่เคยเห็นเลยว่า มีความเหลื่อมล้ำ ในจุดที่คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายคุณไม่เห็นเลยว่า มีคนอีกกี่คนที่เป็นฐานให้คุณเหยียบ ให้คุณกิน คุณนอน คุณเที่ยว ทั้งๆ ที่กำแพงของคุณมันทั้งบาง ทั้งใส แต่คุณก็ยังเลือกที่จะไม่มอง และมโนเอาว่านี่แหละคือความปลอดภัย
...เพื่อนจ๋า คุณไม่ผิดหรอกที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่คุณต้องรู้ว่าโครงสร้างนี้มันผิด มันบ้า มันไม่แฟร์ และคุณกำลังขูดรีดจากคนที่อยู่ข้างล่าง ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ มันผิด โครงสร้างที่บิดเบี้ยวนี้ มันทำให้คุณเชื่อว่าความเหลื่อมล้ำมันคือเรื่องธรรมดา ความยากจนมันคือเรื่องปกติ ความลำบากคือเรื่องสามัญ ซึ่งมันไม่ใช่เลย
...ในวันนี้สังคมกำลังเปลี่ยนไปแล้ว เยาวชน คนรุ่นใหม่ วัยที่พวกเราเคยเป็น เราเคยโกรธในสิ่งเดียวกันกับพวกเค้าตอนที่เราเป็นนักเรียน ตอนที่พวกเรายังมีความเป็นมนุษย์มากกว่าเครื่องคิดเลข แม้เยาวชนวันนี้อาจไม่ได้เห็นความผิดเพี้ยนของสังคมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาชัดเจนเต็มตาอย่างที่เราเห็น การฆ่าประชาชน อุ้มหาย คุกคาม การรัฐประหารปรากฏต่อสายตาพวกเราเป็นวงจรซ้ำซาก ตอนที่เราโตแล้ว ตอนที่เรามีสติ แต่คนรุ่นเรากลับนิ่งเฉย ไม่เคยกล้าที่จะออกมาทำแบบพวกเขาในวันนี้
...เยาวชนที่ออกมาสู้ไม่ได้แค่สู้เพื่อตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้แคร์แค่อนาคตที่เขาต้องการ แต่พวกเขาสู้เพื่อ “ปัจจุบัน” ของพวกเราทุกคน ของคุณ แม้คุณจะยังรักที่จะยืนอยู่บนจุดที่สูงกว่า แล้วกล่อมตัวเองว่า ชีวิตตัวเองปลอดภัย ทั้งๆ ที่ระบบอำนาจนิยมผ่านรัฐและทุนแบบนี้ ไม่เคยเป็นที่ปลอดภัยสำหรับใครเลย
...เพื่อนจ๋า ลองคิดดู ถ้าวันหนึ่งคุณมีลูก มีครอบครัวคุณจะต้องก่อกำแพงบ้านคุณสูงแค่ไหนถึงจะรู้สึกปลอดภัยจากอาชญากรรม จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ คุณจะรู้สึกยังไงถ้าคุณต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อโรงเรียนที่แพงที่สุด เพื่อซื้อสังคมที่ปลอดภัยให้ลูกของคุณ คุณจะรู้สึกยังไง ถ้าลูกของคุณอยากเป็นเพื่อนสนิทกับลูกของผู้ใช้แรงงานที่เป็นชนชั้นที่คุณบอกว่าคุณรังเกียจ ถ้าลูกคุณถามว่าทำไมเรามีบ้านใหญ่โต แต่มีเด็กที่ไม่มีบ้านอยู่ คุณจะตอบลูกคุณด้วยนิทานปลอบใจแบบไหน คุณโอเคที่จะอยู่ในสังคมแบบนี้จริงๆ หรือ สังคมที่คนต่างกลัวกัน ไม่ไว้ใจกัน มีคนกินอยู่สบาย แต่ก็มีคนจะอดตายกลางถนน สังคมแบบนี้หรือที่คุณต้องการ
...ถ้าคุณโอเคกับมัน นั่นแสดงว่าคุณกำลังสนใจแค่โลกใบเล็กๆ ของตัวคุณเอง คุณอาจอ้างคำเก๋ๆ ง่ายๆ อย่างคำว่า “สุขนิยม”ทั้งๆ ที่ความสุขของคุณ มันก่อตัวขึ้นในความเจ็บปวดของคนอื่นความสุขของคุณมันก่อตัวจากความเดือดร้อนของผู้คน คนที่คุณเหยียบอยู่ข้างล่าง คุณจะรู้สึกโอเคกับมันจริงๆ ไหม
...วันนี้เสียงของคนรุ่นใหม่กำลังสั่นสะเทือนโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบ พวกเขากำลังบอกว่า ชีวิตเราไม่ใช่การบำเพ็ญทุกข์ บำเพ็ญเพียร แต่คือการได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์อย่างเต็มที่ อย่างมีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพ เท่าเทียม และถ้าการต่อสู้ของประชาชนชนะ ทุกคนคือคนที่จะได้ประโยชน์ และคนที่ได้ประโยชน์ทันทีก็คือคุณ คุณคือคนที่จะได้ประโยชน์จากความเท่าเทียม การเปิดกว้างทางความคิด เปิดกว้างในการเข้าถึงสิทธิ์ เปิดกว้างในการมีเวลาว่าง เปิดกว้างในการสร้างสังคมที่เท่ากัน เปิดกว้างในการเป็นมนุษย์ คุณจะได้ประโยชน์จากมัน ทั้งๆ ที่คุณยังไม่ต้องทำอะไรเลย
...วันนี้เพียงแค่คุณต้องเลือก เลือกว่าจะออกมายืนยันเสียงของคุณ ออกมายืนยันจุดยืนของคุณ หรือเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อที่จะคอยรับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งไหนก็ตาม ราวกับเป็นปรสิต มันไม่มีหรอกเพื่อน “การเป็นกลาง” หรือ “ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ” มันไม่พอหรอก มันไม่เคยพอ เมื่อคุณบอกว่าเป็นกลาง ในวันนี้ คุณก็เลือกแล้ว เลือกที่จะเมินเฉยต่อความไม่เป็นธรรม เมินเฉยต่อการทำร้ายเพื่อนมนุษย์
...จากใจจริง เราไม่เชื่อหรอก ว่าคุณจะเป็นคนใจร้ายแม้ระบบการศึกษาที่เราโตมาจะห่วยแตกแค่ไหน แต่ยุคที่เราโตมาเราไม่เคยเรียนเรื่องว่า การทำร้ายคนบริสุทธิ์คือเรื่องน่าชื่นชม ไม่มีตำราเล่มไหนสอนว่า ตำรวจมีหน้าที่ปราบปรามประชาชน ไม่มีครูคนไหนบอกว่า การกระทืบคนคิดต่างเป็นคนรักชาติเราเลยไม่เชื่อว่าคุณเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพราะคุณใจร้าย
...แต่วันนี้คุณเลือกอยู่เฉยๆ เพราะว่าการอยู่เฉยๆ “มันง่าย”สำหรับคุณใช่ไหม มันง่ายมาโดยตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต แต่เห็นไหม? การอยู่เฉยๆ มันไม่เคยนำไปสู่สังคมที่ดีกว่า มันก็แค่เป็นความคิดของคนเห็นแก่ตัว ความคิดของคนที่กลัวว่าตัวเองจะเสียประโยชน์ความคิดของคนที่เชื่อว่า คุณมีชีวิตที่ดีได้ด้วยตัวคุณเองคนเดียว มันไม่มีจริง มันคือนิทานหลอกเด็ก
...วันนี้ เด็กๆ ที่โตมากับนิทานเหล่านั้น เขารู้แล้วว่า มันไม่มีจริง เป็นนิทานของคนมีอำนาจที่หลอกให้เรารู้สึกชนะทั้งๆ ที่เราแพ้แต่แรก เราเปลี่ยนโครงสร้างด้วยตัวเองไม่ได้ เราเอาชนะเผด็จการคนเดียวไม่ได้ เราเอาชนะทุนนิยมผูกขาดคนเดียวไม่ได้ เราสู้คนเดียวไม่ได้ เราต้องรวมตัวกัน เราต้องมีเพื่อนทางความคิด เราต้องมีเพื่อนที่จะสู้ไปด้วยกัน และนี่คือสิ่งที่ผู้มีอำนาจกลัวที่สุด
...ข้อความนี้ จึงขอฝากถึงเพื่อนเจนวายผู้เมินเฉยต่อการเมืองทุกคน อย่าเอาเปรียบเสียงของประชาชนเลย อย่าเอาเปรียบเสียงของเยาวชน โปรดยืนยันในสิ่งที่คุณเชื่อ อย่าเลือกที่จะไม่เชื่อในอะไร เพียงเพราะมันง่ายและสบาย
...สุดท้ายแล้ว เพื่อนจ๋า คุณไม่ต้องรอให้ความเดือดร้อนมาถึงเนื้อถึงตัวคุณหรอก คุณไม่ต้องรอให้ถึงตอนที่คุณเสียประโยชน์หรอก การต่อสู้มันอาจไม่ใช่ความเดือดร้อนของตัวคุณคนเดียว แต่มันคือเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ว่า ถ้าคุณเห็นคนที่โดนรังแก ถ้าคุณเห็นเพื่อมนุษย์ถูกกระทำอย่างไร้มนุษยธรรม คุณไม่สามารถโกรธหรือเป็นเดือดเป็นร้อนได้เลยหรือ เราไม่สามารถเจ็บแค้นแทนเมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์โดนรังแกได้เลยหรือ ถ้าคุณยังเฉยในวันนี้ เมื่อวันที่มันมาถึงตัวคุณ อาจไม่เหลือใครสู้เพื่อคุณแล้วก็ได้
...เพื่อนจ๋า ไม่ว่าคุณเป็นใคร ไม่ว่าเรารู้จักกันหรือไม่ แต่ถ้าเราโกรธต่ออำนาจแบบเดียวกัน ถ้าเราโกรธต่อความไม่เท่าเทียมเหมือนกัน ถ้าเราโกรธและเราลุกขึ้นมาสู้ไปด้วยกัน เราคือเพื่อนกัน”
ไม่ต้องชอบข้อความทั้งหมดนี้ แต่จง “ทำความเข้าใจ” กับมัน
แทนการก้าวร้าว ก้าวล่วง แกนนำม็อบโปรดเรียกร้อง “พื้นที่พูดคุย”
แทนการฉีดน้ำสีใส่ผู้ชุมนุมตามขั้นตอนสากล ซึ่งเกิดภาพที่ดูรุนแรง และเป็น “บาดแผล” ในใจคนรุ่นหนึ่ง
รัฐ-จงประกาศพื้นที่พูดคุยโดยด่วน แกนนำม็อบ-หาคนที่มีวุฒิภาวะมาพูดคุย
สส.ทั้งหลาย แทนการวิ่งไล่ประกันตัว และประณามการกระทำของรัฐ หรือเพิกเฉยต่อการกระทำของทั้งสองฝ่ายที่กำลังลุกลามบานปลาย และพานรังเกียจคนรุ่นใหม่ไปด้วย ต้องหมั่นถามตัวเองว่า เราผลักไสและทิ้งคนรุ่นนี้ ไว้กับ “ตัวแทน” แบบไหนตลอดมา ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างนี้ และท้ายที่สุด เราก็จับเขามัดรวมกันว่าเป็น “ภัย” เป็นสิ่งที่ต้องขจัด?
อย่าอ้างว่าอีกไม่กี่วันก็เปิดสภา ท่านประธาน “ชวน หลีกภัย”ต้องแสดงความกล้า ความเป็นผู้นำ ใช้ “เมตตาธรรม” และเกียรติภูมิแห่งความเป็น “ผู้แทนราษฎร” (บนพื้นฐานว่าทุกคนคือราษฎร) นำไปสู่กระบวนการ “เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ”อย่างเร่งด่วนที่สุด เท่าที่ขั้นตอนจะเอื้ออำนวยให้ทำได้ แต่ขอให้เริ่มต้นที่ “ใจ” ปรารถนาจะทำสิ่งนี้ทันที
เพื่อยืนยันว่าคนรุ่นนี้ มิใช่ทั้ง “กรอบ” และ “กรง”!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี