คนไทยส่วนใหญ่ให้ความเคารพครูอาจารย์อย่างสูง จนเปรียบเทียบครูว่าเป็นเสมือนพ่อแม่คนที่สอง สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความรักและเคารพครูมากมายมหาศาล เพราะว่าเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการความรู้ และอาชีพให้กับคนที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ช่วยตอกย้ำให้ลูกศิษย์รู้สำนึกว่าความดี ความเลว คืออะไร แล้วให้ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ของประเทศ และของพ่อของแม่ และวงศ์ตระกูล
คนไทยจำนวนไม่น้อย (รวมถึงคนอีกมากมายบนโลกใบนี้) ยังให้ความนับถือครูว่าเป็นเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณ (spiritual guild) ของนักเรียน เพราะครูคือ
ผู้สร้างลูกศิษย์ให้ยึดมั่นในหลักวิชาการ และหลักความดีงาม ครูมีหน้าที่บอกและตอกย้ำให้ลูกศิษย์ต้องไม่ยอมจำนนต่อความเลวทรามต่ำช้าทุกชนิด
ครูที่ดีทำให้นักเรียนหลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา หลุดพ้นจากความลุ่มหลงมัวเมา ชี้ทางสว่างให้กับศิษย์ และยังช่วยให้ลูกศิษย์ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม
ดังนั้น ครูดีจึงเป็นบุคคลผู้อยู่ในหัวใจ และในความคิดนึกของลูกศิษย์ผู้ใฝ่ดีอยู่ตลอดเวลา เป็นเสมือนผู้ยิ่งใหญ่ในความนึกคิดของศิษย์ เป็นแบบอย่าง เป็นแสงสว่างในการดำเนินชีวิตของศิษย์
ครูคือผู้ที่สาธารณชนตั้งความหวังไว้ค่อยข้างจะสูงส่ง เพราะเชื่อว่าครูคือคนสำคัญในการหล่อหลอมความดีความงาม ความรู้ และคุณธรรมให้กับศิษย์ ครูจึงถูกมองและศรัทธาว่าคือผู้ทำหน้าที่มากมาย ทั้งให้ความรู้ที่ถูกต้อง เป็นแบบอย่างที่ดีงาม เป็นผู้มีความกล้าหาญทางคุณธรรม มีจริยธรรม มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ เป็นผู้สลายอวิชชาให้กับศิษย์ ครูจึงทำหน้าที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากพ่อแม่ เพราะนอกสอนหนังสือให้ความรู้แล้ว ครูยังต้องสอนใจใส่ความดีให้กับศิษย์ และในหลายๆ ครั้ง สังคมไทยยังประจักษ์ด้วยว่า ครูคือผู้แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี
ครูที่ดีคือครูที่สอนความรู้ที่ถูกต้องให้กับเด็ก แต่มิใช่แค่สอนความรู้เท่านั้น แต่ครูยังต้องใส่ใจกับศิษย์ ต้องให้ทั้งความรักความเข้าใจ โดยจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา นี่คือครูที่เป็นครูโดยแท้
ที่พูดมาในข้างต้นนี้ คือครูในการรับรู้ของคนไทยในสมัยก่อน แต่ทว่าในความเป็นจริงของยุคปัจจุบันนี้ ครูดีๆนั้นหาได้แสนยากแสนเย็นในสังคมไทย เพราะคนเป็นครูจำนวนไม่น้อยคือคนที่เข้าข่ายสามานย์
ปรากฏการณ์ที่คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนพันกว่าคนออกมาป่าวประกาศว่าจะไม่ทำหน้าที่ของตนคือไม่สอนหนังสือ ถ้าหากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออกจากตำแหน่ง คือปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนจำพวกนี้เสื่อมจนไม่น่าจะดำรงสถานะของคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป
ผู้เขียนให้เคยเรียกคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยทุกคนว่าครูหรืออาจารย์ เพราะหลายคนไม่มีคุณสมบัติของความเป็นครูอาจารย์เลยแม้แต่น้อย เพราะคนจำพวกนี้ไม่มีจิตใจขอความเป็นครู เพราะไม่มีความเมตตากรุณาโดยแท้ต่อศิษย์ ไม่เคยเป็นกัลยาณมิตรแท้ของศิษย์ ไม่ซื่อตรงต่อวิชาชีพครู ไม่มีความเสียสละให้กับศิษย์ ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ศิษย์ และไม่เคยให้แสงสว่างที่แท้จริงกับศิษย์
แต่ผู้เขียนสามารถกราบคารวะคุณครูผู้มีความเป็นครูที่แท้จริงได้ เพราะในชีวิตนี้ ผู้เขียนได้ประจักษ์มาแล้วว่าในมหาวิทยาลัยนั้นมีทั้งครูแท้และครูเทียม โดยครูแท้ยังคงอยู่ในใจของผู้เขียนและศิษย์ตลอดไป และผู้เขียนยังคงให้ความเคารพนับถือและบูชาคนเป็นครูแท้ตลอดเวลา
การที่คนสอนหนังสือจำนวนพันกว่าคน (แต่บางคนก็ไม่ได้ทำหน้าที่สอนหนังสือ แต่เพียงแค่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย แล้วคนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องจริงก็คิดว่าคนเหล่านั้นทำหน้าที่สอนหนังสือ) ออกมาลงชื่อทำนองข่มขู่ว่าหากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออกตามเวลาที่พวกเขากำหนดให้ พวกเขาจะหยุดสอนหนังสือ
การกระทำดังกล่าวของคนกลุ่มนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จนถึงถูกประณามอย่างหนักจากสาธารณชนว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เป็นการกระทำเกินหน้าที่ เป็นการใช้สถานะของความเป็นคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยออกมาสร้างความปั่นป่วนให้สังคม
ขอถามอีกครั้งว่า คนทำหน้าที่สอนหนังสือแต่ประกาศว่าจะไม่สอนหนังสือ ทำได้ไหม คำตอบคือทำไม่ได้ เพราะในเมื่อตนเองมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ แต่กลับออกมาลอยหน้าประกาศว่าจะไม่ทำหน้าที่ของตน ถ้าเป็นเช่นนี้ คนจำพวกดังกล่าวก็ต้องลาออกไปโดยทันที
การออกมาแสดงคำพูดข่มขู่ของคนจำพวกนี้ ทำให้สาธารณชนยิ่งประจักษ์ชัดว่าคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยไทยจำนวนไม่น้อยไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และไม่มีความเป็นครู
มีคำถามต่อไปอีกว่า การที่พวกเขาเหล่านั้นจงใจลงชื่อในเอกสารดังกล่าว พวกเขาคิดหรือว่านั่นคือการแก้ปัญหาให้กับสังคมไทยที่กำลังเผชิญอยู่ หรือว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาเหล่านั้นคือตัวการของปัญหาที่กำลังบังเกิดในสังคม
อ้อ! แล้วมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องถามและซักไซ้ให้กระจ่างคือ ทั้งหมดที่ลงชื่อนั้นเป็นคนสอนหนังสือตัวจริงทั้งหมดหรือเปล่า เพราะบางคนก็เป็นแค่คนที่เคยถูกเชิญไปบรรยายเท่านั้น แต่ไม่มีสถานภาพของความเป็นครูอาจารย์โดยแท้จริง ดังนั้นการผสมโรงในครั้งนี้ ก็จึงเท่ากับเป็นการจงใจหลอกลวงสังคมให้เข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย
และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องตั้งคำถามกันมากๆ คือ คำว่านักวิชาการอิสระ หมายความว่าอะไร นักวิชาการอิสระ อิสระจากอะไร อิสระจากสังกัด หรืออิสระจากนายจ้าง หรืออิสระจากความรับผิดชอบเมื่อสร้างปัญหาให้สังคม เพราะฉะนั้น เวลาเมื่อผู้เขียนได้ยิน หรือได้เห็นคำว่า นักวิชาการอิสระจึงมีคำถามเสมอ แต่ก็ไม่เคยหาคำตอบที่กระจ่างชัดได้แม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อเวลาได้ยินคำนี้ จึงทำให้ผู้เขียนและวิญญูชนหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน แล้วบอกตรงกันว่า พวกนี้ก็แค่นักสร้างภาพเท่านั้น
ขอย้ำว่า ไม่มีใครหวงห้ามคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย หรือใครก็ตามในที่ทำหน้าที่ต่างๆ นานาในมหาวิทยาลัยข้องเกี่ยวกับประเด็นการเมือง ไม่มีใครห้ามคุณๆ ประท้วงทางการเมือง หากคุณประท้วงโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่หากคุณอยากจะประท้วงโดยผิดกฏหมายก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณไม่ต้องมาร้องแรกแหกกระเชอว่าคุณถูกกลั่นแกล้งเมื่อถูกดำเนินคดีความ เพราะคุณทำผิดกฎหมาย คุณก็ต้องยอมรับสภาพบังคับของกฎหมาย
หากคุณต้องการขับไล่นายกรัฐมนตรี คุณก็ต้องออกมาแสดงความต้องการของคุณด้วยตัวคุณเอง คุณไม่สมควรใช้ให้เด็กและเยาวชนที่ถูกคุณปลุกปั่น ปลุกระดม หลอกล่อด้วยกลอุบายสารพัดให้ออกไปก่อแผนการตามที่คุณได้วางแผนไว้
แต่ที่มากกว่านั้นคือ หากคุณตั้งใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะว่าคุณไม่ชื่นชม ไม่เคารพ ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่น และไม่เห็นความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณก็ต้องออกมาแสดงความต้องการนั้นด้วยตัวของคุณเอง คุณกรุณาอย่าหลอกใช้เด็กและเยาวชนให้ก่อการร้ายแทนคุณ แล้วคุณก็ไม่ต้องอ้างอีกต่อไปว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะวิญญูชนประจักษ์ชัดในพฤติกรรมต่าง ๆ ที่คุณแสดงออกตลอดเวลา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วยังรู้ด้วยว่า คุณใช้กลอุบายต่างๆ หลอกล่อล้างสมองให้เด็กและเยาวชนไม่เห็นถึงความสำคัญและจำเป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสังคมไทย
คนเป็นครูอาจารย์ต้องรู้ว่าตนเองมีหน้าที่หลักคือการสอนหนังสือ และทำงานวิจัยวิชาการ และเขียนตำราวิชาการตามสาขาความรู้ที่คุณมี และได้รับมอบหมาย แต่ครั้นเมื่อคนผู้มีสถานภาพเป็นครู ซึ่งต้องทำหน้าที่สอนหนังสือดันกลับสร้างเรื่องอุบาทว์ด้วยการประกาศเชิงข่มขู่ว่าจะไม่สอนหนังสือ ก็หมายความว่าปรากาศว่าตนเองจะไม่ทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป
เมื่อตนเองประกาศไม่ทำหน้าที่ของตนก็ต้องลาออกจากหน้าที่โดยพลัน อย่าหน้าทนรับเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ โดยที่ตนเองบกพร่องต่อหน้าที่อย่างชัดเจน
ขอย้ำอีกครั้งว่า หากคนสอนหนังสือเหล่านั้นต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ต้องออกไปประท้วงขับไล่เพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยตัวเอง จงยุติการหลอกใช้เด็กและเยาวชนให้ก่อการแทนตนเอง แล้วหากคนสอนหนังสือมีความกล้าหาญในสิ่งที่ตนเองต้องการกระทำมากพอก็ต้องนำเอาบุคคลในตระกูลของตน เช่น พ่อแม่ (หากยังมีชีวิตอยู่) ลูกเมียผัวของตนออกไปร่วมประท้วงด้วย และจงรับรู้ไว้ด้วยว่า การหลอกใช้ให้เด็กและเยาวชนออกไปทำการร้ายแทนตน คือการแสดงออกซึ่งความสามานย์ ความขลาดของตน
หากคนสอนหนังสือจำนวนพันกว่าคนที่ลงชื่อในครั้งนี้ ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอจงออกไปทำการด้วยตัวเอง อย่าหลบซ่อนอยู่หลังเด็กและเยาวชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี