สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงด้วยกรรมวิธีต่างๆ และย่อมต้องหาทางกำจัดศัตรูของตนทุกชนิดให้หมดสิ้นไป เพื่อความอยู่รอดของตน นี่คือเรื่องปกติสามัญของสิ่งมีชีวิต
สำหรับคนไทยบางจำพวกที่ต้องการโค้นล้มทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะอ้างด้วยความเท็จตลอดเวลาว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงเอารัดเอาเปรียบสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องหมายของการแบ่งแยกชนชั้น ทำให้ความเป็นคนไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียมกัน แล้วยังจงใจโกหกด้วยว่าพระมหากษัตริย์ของไทยทรงนำเงินตราของแผ่นดินไปใช้สอยในกิจการส่วนพระองค์ เหตุที่สามานย์ชนเหล่านี้อ้างข้อความเท็จใส่ความพระมหากษัตริย์ตลอดเวลา ก็เพราะต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ลงให้สิ้น
วันนี้ผู้เขียนจะมาชวนคุณพิจารณาว่าเหตุใดพวกที่จงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมพูดความจริงอันประเสริฐของสถาบันพระมหากษัตริย์บ้าง ทั้งๆ ที่มีความดีงามมากมายจนเกินจะบรรยายได้หมดสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น
ก่อนอื่น เราต้องยอมรับกันว่าในประเทศไทยมีขบวนการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าขบวนการล้มเจ้า ขบวนการนี้มีมาตั้งแต่อดีตแล้ว คนในขบวนการนี้ใช้การให้ความเท็จทั้งปวงเพื่อโจมตีพระมหากษัตริย์ตลอดเวลา ความเท็จที่คนกลุ่มดังกล่าวอ้างก็ตั้งแต่เรื่องการเปลี่ยนแผ่นดินจากยุคกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วก็ยังโกหกเรื่องคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 แล้วก็มาสร้างเรื่องโกหกต่างๆ นานา เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
แต่สำหรับคนที่เรียนรู้และศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นอย่างดีจะไม่หลงเชื่อคำโกหกต่างๆ นานา ของขบวนการล้มเจ้าแต่สำหรับคนที่รู้ประวัติศาสตร์ไทยน้อยชนิดที่เรียกได้ว่าสั้นกว่าหางอึ่งก็หลงเชื่อคำโกหกของขบวนการล้มเจ้า ด้วยเพราะตนมีสติปัญญาอันจำกัด แล้วที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือคนจำพวกนี้จะไม่ยอมรับฟังความคิดของผู้อื่น ไม่ยอมเปิดสมอง เปิดตา เปิดใจรับข้อความจากผู้อื่น โดยกล่าวหาว่าพวกที่คิดไม่เหมือนตนเองคือพวกคลั่งเจ้า เป็นพวกกษัตริย์นิยม แล้วก่นด่าว่าประณามว่าเป็นไดโนเสาร์ เต่าล้านปีเป็นพวกล้าหลัง ไม่ก้าวหน้า
คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดล้ำเลิศ หัวก้าวหน้าเกินกว่าใครบนปฐพีต่างลืมคิดไปว่า การที่พวกเขามีตัวมีตนขึ้นมาได้จนทุกวันนี้ก็เป็นเพราะว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากคนที่เขาก่นประณามหยามว่าเป็นไดโนเสาร์ แล้วคิดว่ากลุ่มของตนเองมีจำนวนมากพอที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
แต่เมื่อการณ์กลับกลายเป็นว่าคนที่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ได้รวมตัวสำแดงพลังอย่างมืดฟ้ามัวดิน ก็ทำให้คนที่จงใจโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความเท็จ และความกักขฬะเกิดอาการกระอักกระอ่วน เพราะคาดไม่ถึงว่าบนแผ่นดินไทยจะมีผู้จงรักภักดีมากมายถึงเพียงนี้
เหตุที่ขบวนการล้มเจ้าไม่รู้ว่าแผ่นดินไทยมีคนไทยผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินอย่างมากมาย ก็เพราะว่าเขาเหล่านั้นอยู่ในโลกเสมือนจริง โดยไม่เคยลืมตามองความเป็นจริงของสังคมไทย ขบวนการล้มเจ้าเทิดทูนว่าคณะราษฎร 2475 คือวีรบุรุษผู้สร้างประชาธิปไตย แล้วมองว่าพระมหากษัตริย์คือต้นเหตุของความไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ขบวนการล้มเจ้าเพ้อฝัน อันที่จริงหากขบวนการล้มเจ้าจะเปิดสมองให้กว้างขึ้นอีกสักนิดก็จะรู้ว่าคณะราษฎรนั่นทำทุกอย่างเพื่ออำนาจของตนเอง แต่ทำเป็นว่าเพื่อประชาธิปไตย แต่เรื่องนี้นั้น หากจะโทษก็ต้องโทษบทเรียนประวัติศาสตร์ของบ้านเราด้วย เพราะหลายอย่างได้จงใจถูกทำให้ประวัติศาสตร์แท้จริงหายไป เพราะไม่ต้องการให้คนรุ่นหลังเข้าใจความจริงของสังคมไทย
สำหรับคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยอย่างลึกซึ้งจะไม่ให้ความสำคัญอย่างเลิศลอยกับคณะราษฎร เพราะรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประเทศสยามมานานแล้ว แต่ด้วยเหตุที่ว่าทรงพิจารณาแล้วเห็นว่ายังเร็วเกินไปกับการพระราชทานรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมและไม่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
ขอย้ำยืนยันว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงมองการณ์ไกลมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มเมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงคำนึงถึงความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎรเสมอมา ทรงนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่พระราชอาณาจักรและสู่ประชาชนเสมอ เพราะพระมหากษัตริย์มีพระราชประสงค์ให้แผ่นดินสยามและชาวสยามอยู่ดีมีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะการที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ก็หมายถึงพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์
พระเจ้าแผ่นดินของไทย หรือพระมหากษัตริย์ของไทยทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเมืองเป็นอันดับแรก ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็ทรงค้าสำเภากับประเทศจีนและประเทศต่างๆ แล้วทรงนำเงินตราเก็บไว้เป็นทุนสำรองสำหรับประเทศ ครั้นสมัยรัชกาลที่ 4 ก็ทรงสร้างปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ให้กับสยามด้วยการทรงติดต่อกับฝรั่งตะวันตก พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความเจริญก้าวหน้าของสยามประเทศ ดังพบว่าพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจของโลกในยุคนั้นโดยเสด็จฯเยือนยุโรป จนทำให้สยามได้มิตรประเทศที่สามารถช่วยคานอำนาจของประเทศที่กำลังล่าอาณานิคมได้อย่างดีที่สุด ดังที่เราทราบกันดีว่าทรงมีมิตรประเทศคือเยอรมนีและรัสเซีย อันทำให้สยามไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติที่กำลังล่าอาณานิคมในยุคนั้น
นอกจากนั้นรัชกาลที่ 5 ยังทรงวางรากฐานเรื่องการศึกษาให้กับอาณาประชาราษฎร เพราะทรงตระหนักว่าการศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยในระยะยาว และทำให้ประชาชนมีความสามารถในการทำอาชีพการงานเพื่อให้มีชีวิตที่ผาสุก ดังเราจะพบว่าทรงตั้งโรงเรียนในวังแล้วขยายออกไปนอกวัง แล้วยังทรงส่งพระราชโอรส และข้าราชการไปศึกษาต่อในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิชาการ ซึ่งเรื่องนี้คือความจริงเชิงประจักษ์ที่ทุกคนรับทราบตรงกันมาช้านานแล้ว
ส่วนในเรื่องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองแผ่นดินนั้น ก็ยังพบด้วยว่าทรงคำนึงถึงเรื่องการเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบพระมหากษัตริย์ทรงปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ดังมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2427) ที่ทรงรับจดหมายซึ่งมีการเข้าชื่อกันโดยเจ้านายและข้าราชการ โดยในจำนวนนี้มีพระเจ้าน้องยาเธอร่วมลงพระนามด้วย ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา และมีรับสั่งตอบว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะขัดขวางเรื่องนี้
แล้วที่สำคัญจะพบด้วยว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้ข้าราชการทำงานเพื่อแผ่นดินได้อย่างเต็มความสามารถ นับว่าเป็นการปฏิรูประบบราชการไทยโดยพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์โดยแท้ ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันได้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงปฏิรูปบ้านเมืองและทรงปฏิรูปพระองค์เองเสมอมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว
ข้อมูลเชิงประจักษ์อีกเรื่องคือ รัชกาลที่ 5 ทรงส่งให้พระราชโอรสไปทรงศึกษาศิลปวิทยาการในแขนงต่างๆ ในประเทศต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้มิใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะทรงมองการณ์ไกลไว้แล้วว่าทรงต้องการให้พระราชโอรสและเจ้านาย รวมถึงข้าราชการที่ทรงส่งไปศึกษานำวิชาความรู้ในแขนงต่างๆ กลับมาพัฒนาประเทศสยามให้รุ่งเรือง เพราะทุกพระองค์และทุกคนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อจะได้กลับมาทำงานสอดประสานกันเพื้อพัฒนาประเทศ
ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงที่ทำให้คนไทยรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ของไทยทรงทำทุกอย่างเพื่อบ้านเพื่อเมือง และทรงปฏิรูปพระองค์เองให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอมา เพราะฉะนั้นขบวนการล้มเจ้าที่จงใจโกหกว่าต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการกล่าวเท็จเพื่ออ้างเหตุผลในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยชัดแจ้ง
คำถามคือทำไมจึงเกิดขบวนการล้มเจ้าขึ้นมาได้ คำตอบสั้นๆ แต่ชัดเจนก็คือ เพราะมีคนมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่รู้จักประมาณตนแต่ต้องการตะกายใฝ่หาอำนาจ เพราะคิดว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดินคือการได้ดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องทรงทำงานทำการใดๆแต่ชีวิตเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความฟุ้งเฟ้อ และมีเกียรติยศ คนในขบวนการล้มเจ้าคิดเอาเองว่าตนเองก็สามารถเป็นพระมหากษัตริย์ได้ แต่ครั้นจะประกาศว่าตนจะขึ้นไปเป็นพระมหากษัตริย์ตรงๆ ก็รู้ดีว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มีวันยินยอม ดังนั้นก็จึงแสร้งทำเป็นอ้างว่าต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต้องลดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ต้องทำให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น พระมหากษัตริย์ไทยทรงดำรงพระองค์ตามหลักทศพิธราชธรรมมาโดยตลอด ซึ่งเป็นการดำรงพระองค์ที่ยากกว่าการทำตามข้อกฎหมายหลายร้อยหลายพันเท่า
ถามกันตรงๆ ว่ามีคนไทยสักกี่คนที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วมีคนไทยสักกี่คนที่ต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของแผ่นดิน ส่วนการที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งออกมาตะโกนด่าทอ ว่าร้ายพระมหากษัตริย์ในขณะนี้ ก็มิได้หมายความว่าเป็นของใหม่สำหรับสังคมไทย เพราะที่ผ่านมานั้น พระมหากษัตริย์ไทยทรงเผชิญกับการกระทำอันไม่บังควรของคนไทยบางกลุ่มในยุคนั้นมาอย่างสาหัส โดยเฉพาะหลังยุคที่คณะราษฎรปล้นพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์ได้เรียบร้อยแล้ว เราพบว่าพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงถูกกลั่นแกล้งจากคนของคณะราษฎรอย่างชัดเจน แต่ทว่าพระมหากษัตริย์ของเราไม่ทรงต้องการจะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จึงทรงยอมเสียสละพระองค์ด้วยการไม่ทรงเรียกร้องพระราชอำนาจกลับคืน เพราะไม่ทรงต้องการให้คนไทยด้วยกันต้องฆ่ากันเอง หรือเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
อันที่จริง หากจะพูดถึงการปรับตัวของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว ยังสามารถพูดได้อีกนานมาก เพราะมีข้อมูลเชิงประจักษ์มากมายล้นเหลือ แต่ขอกลับไปที่ประเด็นที่ตั้งไว้เป็นหัวข้อเรื่องคือ ทำไมพระมหากษัตริย์ต้องทรงยอมให้ใครทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เหตุที่ตั้งคำถามเช่นนี้ มิใช่เพราะว่าพระมหากษัตริย์จะทรงลงมาต่อสู้เพื่อปกป้องพระองค์กับประชาชนที่คิดล้มล้างพระองค์ แต่ในความเป็นจริงต้องการจะบอกว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชสิทธิ์ที่จะปกป้องพระองค์เองได้แต่พระองค์ไม่เคยทรงคิดกระทำการดังกล่าว เนื่องจากไม่ทรงต้องการให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง แต่ถึงแม้พระองค์จะไม่ทรงปกป้องพระองค์เอง ก็ต้องขอยืนยัน ณ ตรงนี้ และยืนยันตลอดไปว่า คนไทยจำนวนมากที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนล้มล้างทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างเด็ดขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี