“แน่นอนว่า ประชาชนมีความเคลือบแคลงสงสัยในความสองมาตรฐาน
ในแง่หนึ่ง เมื่อคนรวย คนมีอำนาจ ทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องเข้าคุกในประเทศนี้
ขณะเดียวกัน คนเล็กคนน้อย คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ ทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกติดคุกติดตะราง...”
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า
(ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา)
27 กรกฎาคม 2553
1. ม็อบคณะราษฎร 63 พุ่งเป้าโจมตีการบริหารจัดการทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงบทบาทสนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าวหลายครั้งหลายหน แม้จะไม่ประกาศตนเป็นแกนนำม็อบ แต่ถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดกับขบวนการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ
2. เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2563 นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ขอให้อัยการสูงสุดชี้แจงเหตุผลที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 4 ไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กรณีให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) 20 ล้านบาท หวังแลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
นายวัชระระบุว่า คดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 หมายเลขดำที่ อท 76/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท228/2562 ให้ลงโทษ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการพิเศษสำนักงานทรัพย์สินฯ และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช นายหน้าจำคุกคนละ 6 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือคนละ 3 ปี
นายวัชระตั้งประเด็นข้อสงสัยว่า ด้วยเหตุตามคำพิพากษานี้ เหตุใดอัยการสำนักงานคดีพิเศษจึงไม่ฟ้องนายสกุลธร เพราะตนเกรงว่าอาจจะซ้ำรอยคดีบอส อยู่วิทยา จึงขอให้อัยการสูงสุดสอบสวนอัยการเจ้าของคดีว่าเหตุใดจึงไม่ฟ้องนายสกุลธร และเมื่อมีคำพิพากษาดังนี้สำนักงานอัยการสูงสุดจะดำเนินการทางกฎหมายต่อนายสกุลธร หรือไม่อย่างไร?
นายวัชระ เปิดเผยด้วยว่า ขณะเกิดเหตุการกระทำผิดตามคำพิพากษานี้ คือ มี.ค. 2560 - 18 ก.ย. 2560 บริษัทเรียลแอทเสทฯ ได้แสดงบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2560 ลำดับที่ 1 นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ลำดับที่ 2 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (บุตรชายคนโตของนางสมพรและพี่ชายของนายสกุลธร) และลำดับที่ 6 นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ
3. จากการตรวจสอบคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีดังกล่าว พบข้อเท็จจริงประเด็นน่าสนใจ ดังนี้
3.1 คดีนี้ จำเลยทั้งสอง ได้แก่ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการพิเศษสำนักงานทรัพย์สินฯ(ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯไปจัดประโยชน์แต่อย่างใด) และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช
รับสารภาพทั้งคู่
3.2 ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด ฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม มาตรา 268 รวมสองกระทง ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองกระทงละ 2 ปี, ฐานร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปี
แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี
กฎหมายอาญามาตรา 143 ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน...
คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีการอุทธรณ์
3.3 คดีนี้ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ได้ตกเป็นจำเลย
ไม่ทราบแน่ว่า อัยการได้กันนายสกุลธรไว้เป็นพยานหรือไม่?
แต่น่าสังเกตว่า เมื่อจำเลยทั้งสองรับสารภาพหมด จะมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องกันผู้อื่นไว้เป็นพยาน?
3.4 ในคำพิพากษา ระบุถึงนายสกุลธรบางตอน ระบุว่า
“...ระหว่างกลางเดือนมีนาคม 2560 เวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงเดือนพฤศจิกายน 2560 เวลาใดไม่ปรากฏชัด
ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ไปแจ้งต่อนายสกุลธร
จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปม้นท์ จำกัด ว่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน
พระมหากษัตริย์บริเวณที่เป็นที่ตั้งขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) กำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะเปิดให้ผู้สนใจมาลงทุนพัฒนาที่ดินดังกล่าว โดยจะมีการทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ระยะยาว
เมื่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชื่อว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริง จึงให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวกเพื่อให้ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวโดยมีค่าตอบแทนจำนวน 500,000,000 บาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน)
จากนั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยจำเลยที่ 1 ได้แนะนำให้นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยื่นหนังสือแสดงความจำนงขอเช่าที่ดินต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ตามช่องทางปกติ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรกจำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) จากนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมขึ้น...อ้างต่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพื่อให้นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) จัดทำ แจ้งว่าบริษัท เรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนเบื้องต้นและเชิญให้เจ้าหน้าที่ของบริษัท เรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับแผนพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม)
มีชื่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว
จึงได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และงวดที่สามอีกจำนวน 10,000,000 บาท
(สิบล้านบาทถ้วน) รวม 3 งวด จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่จำเลยทั้งสอง
รับไว้สำหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้.... ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ ตามกฎหมายโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมายเพื่อจูงใจ....ให้กระทำการในหน้าที่ด้วยการจัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติของการขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อันเป็นคุณแก่ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และทำให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เสียประโยชน์ที่จะได้รับเงินจากการประมูลที่สูงที่สุด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ผู้อื่นและประชาชน...”
3.5 พูดง่ายๆว่า นายสกุลธรจ่ายตังค์ไปแล้ว 20 ล้านบาท จากที่ตกลงไว้ 500 ล้านบาท
หากทราบว่าถูกหลอก โดยไม่รู้ไม่เห็นกับขบวนการทำเอกสารปลอม รวมถึงการอ้างว่าจะไปติดสินบน
เจ้าพนักงานจริงๆ น่าจะต้องฟ้องร้องเรียกเงิน 20 ล้านบาท คืน หรือไม่?
เป็นไปได้แค่ไหน?
3.6 คดีนี้ ศาลพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วว่า มีบุคคลเป็นตัวกลางเรียกรับสินบน คือ จำเลยทั้งสองคนที่ได้รับเงินจากนายสกุลธร
นั่นคือ ชี้ขาดแล้วว่า จำเลยมีพฤติกรรมเป็นตัวกลางเรียกรับสินบน
หมายความว่า เงิน 20 ล้านบาทนั้น คือ สินบน ใช่หรือไม่?
3.7 ที่ดินแปลงที่เป็นเรื่องนั้น เป็นที่ดินแปลงงาม มีมูลค่าจริงในท้องตลาดนับหมื่นล้านบาท
ผู้เป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ย่อมรู้ หรือควรรู้
อีกทั้งรู้ทั้งวิธีการเข้าประมูล รวมถึงรู้ขั้นตอนวิธีการจ่ายและจำนวนเงินค่านายหน้า ว่าแตกต่างจากสินบน อย่างไร?
3.8 ขณะนี้ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะถือเป็นผู้เสียหาย แต่ต้องสงสัยว่าไปหลงเชื่อจำเลยทั้งสองคนในคดีดังกล่าวจริงหรือไม่? หลงเชื่อได้อย่างไร ?
ในชั้นสอบสวน ได้เคยสอบปากคำนายสกุลธรหรือไม่?
ได้แสดงเหตุผล และพยานหลักฐานอย่างไรบ้าง?
4. สำหรับคดีติดสินบนเจ้าพนักงาน ที่เคยมี คำพิพากษาโด่งดังก่อนหน้านี้ อาทิ
4.1 คดีสินบนล่าเสือดำ - ศาลอุทธรณ์คดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษายืนจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา นายเปรมชัย กรรณสูต ฐานติดสินบนเจ้าพนักงาน กรณีถูกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จับพร้อม ของกลางซากสัตว์ป่าคุ้มครองและอาวุธปืนต้นปี’61
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ นายเปรมชัยเป็นคนเอ่ยปากเสนอผลประโยชน์แก่เจ้าพนักงานด้วยตนเอง ขณะนี้รอคำพิพากษาศาลฎีกา
4.2 คดีสินบนเพื่ออุ้มคดียุบพรรค - ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีตผู้กำกับการ สภ.โพธิ์แก้ว เสนอสินบน 30 ล้าน ให้อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ หวังช่วยเหลือคดียุบพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2549 ข้อเท็จจริงในคดีนี้ จำเลยไปพบตุลาการรัฐธรรมนูญที่ห้องทำงานศาลฎีกาและที่บ้าน เสนอเงิน 30 ล้านบาท เมื่อถูกจับได้ จำเลยปฏิเสธ อ้างว่าเป็นการพูดหยอกล้อ
ศาลฎีกา ชี้ว่า จำเลยเคยเป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมมาก่อน จำเลยย่อมรู้ดีว่า การเสนอให้เงินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ โดยเฉพาะการเสนอให้เงิน แก่ตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อจูงใจให้ช่วยเหลือการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นคดีที่สำคัญอยู่ในความสนใจของประชาชนนั้น จึงนับว่าเป็นความพยายามที่จะบิดเบือนความยุติธรรม และเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันศาล การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง
4.3 คดีสินบนพ่อค้าไม้ - ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก นายวินัย พานิชยานุบาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวนกิจ (1999) จำกัด พ่อค้าไม้รายใหญ่ 2 ปี และนายประวัติ ถนัดค้า อดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ 5 ปี ฐานเป็นผู้ให้และรับสินบน 5 ล้านบาท หลังจากเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ได้ทำการตรวจสอบ และอายัดไม้สักท่อน มูลค่า 180 ล้านบาท
4.4 คดีสินบนบ้านเอื้ออาทร – ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกนักการเมืองและพ่อค้ากับพวก ที่ทำหน้าที่เรียกรับเงินสินบน หรือค่าตอบแทน หรือค่าหัวคิว แลกกับการได้รับโควตาบ้านเอื้ออาทรนั้น แต่ยกฟ้องเอกชนที่ถูกฟ้องเป็นจำเลย
คดีนี้ มีเอกชนกว่า 11 ราย ยอมจ่ายเงินรวมกว่า 1,400 ล้านบาท
เอกชนบางรายเป็นพยานให้การเป็นประโยชน์ ไม่ถูกฟ้องเป็นจำเลย
เอกชนบางรายถูกฟ้องเป็นจำเลย แต่ศาลฎีกายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นฝ่ายถูกข่มขืนใจ หรือจูงใจให้นำเงินมามอบให้โดยมีคุณสมบัติที่จะได้รับอนุมัติหน่วยก่อสร้างได้อยู่แล้ว อีกทั้งไม่ได้ช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกขณะเจ้าหน้าที่กระทำผิด (คดียังไม่ถึงที่สุด)
5. ในกรณีนี้ เมื่อนายวัชระ เพชรทอง ไปยื่นสอบถามอัยการสูงสุด จึงเป็นการสมควรที่จะต้องชี้แจงรายละเอียด เพื่อมิให้สังคมได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องที่สุด
อย่าลืมว่า.. สังคมบางส่วนมีความรู้สึกติดลบกับระบบยุติธรรม ดังที่ปรากฏว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เคยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธอยู่วิทยา ระบุว่า “...แน่นอนว่า ประชาชนมีความเคลือบแคลงสงสัยในความสองมาตรฐาน ในแง่หนึ่ง เมื่อคนรวย คนมีอำนาจ ทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องเข้าคุกในประเทศนี้ขณะเดียวกันคนเล็กคนน้อย คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ ทำผิดกฎหมายก็จะถูกติดคุกติดตะราง...”
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี