การอภิปรายไม่ไว้วางใจใกล้จะมาถึง ในบรรยากาศที่ประชาชนคล้ายจะไม่ให้ความสำคัญหรือความสนใจมากนัก อาจด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ
1.ไม่ค่อยเชื่อในศักยภาพของฝ่ายค้าน เพราะที่ผ่านมาทำได้แค่ “พูดจาบ้าน้ำลาย วกไปวนมา ซ้ำๆ ซากๆ”เสียมากกว่าจะมีประเด็นที่คมคาย มีข้อมูลที่สร้างความน่าสนใจ ในเชิงการตรวจสอบ ที่ไม่ใช่การตอบโต้ทางการมืองแบบผิวเผิน ให้สมกับที่เป็นการอภิปราย
ไม่ไว้วางใจจริงๆ
2.ฝ่ายค้านชอบฉายหนังซ้ำ เอาสิ่งที่เคยตรวจแล้ว ตั้งกระทู้ถามแล้ว แถลงนอกสภาจนถูกโต้กลับไปแล้ว มาพูด “ฆ่าเวลา” ในสภา เพื่อหาทาง “ออกทีวี” ให้คนเห็น ไม่เคยบ่มประเด็น เฟ้นหาข้อมูลหลักฐานใหม่และลึกมาตีแผ่ ให้สมาชิกสภา และประชาชนนอกสภา รู้สึกได้ถึง “ความไม่น่าไว้วางใจ” ที่แท้จริง
3.ที่ผ่านมาฝ่ายค้าน “เน้นปริมาณ” มากกว่าเน้นคุณภาพ โดยเฉพาปริมาณของคนที่ลุกขึ้นพูด แต่ไม่มีปริมาณของประเด็นและข้อมูลมากพอ ทำให้เกิดความซ้ำซาก ไม่น่าติดตาม ไม่คัด “คนคุณภาพ” ที่มีการพูดที่น่าฟัง ลำดับความดี นำเสนอดี ไม่มีจิกกัด เหน็บแนม จนถูกประท้วงซ้ำซาก มานำเสนอ แต่เลือกที่จะเฉลี่ยๆ บำบัดความอยากให้แก่ “คนอยากพูด” ทั้งๆ ที่บางคน ไม่อยู่ในสภาพที่ควรจะได้พูดเลย เพราะไม่น่าติดตามเลย และไม่มีประเด็นที่น่าฮือฮาเลย เหมือนจัดการชกแบบ “หมาหมู่” มากกว่า “มวยคู่เอก” ให้คนจดจ่อรอฟังไม่เลิกฟังกลางคัน
ลีลาการ “โหมโรง” ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ไม่ต่างไปจากเดิม คือ
- อวดโอ่ว่ามีข้อมูลเด็ด ถึงขั้นรัฐมนตรีบางคนหลุดจากเก้าอี้ หรืออาจถึงขั้นติดคุก (ซึ่งหากมีจริงคงทำให้ประชาชนรู้สึกดีใจที่ชาติบ้านเมืองมีฝ่ายค้าน และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ)
- แก้ตัวว่าฝ่ายค้านมีเอกภาพ ไม่มีหรอกงูเห่า ไม่มีหรอกข้อสอบรั่ว ไม่มีหรอก “ชู้ทางใจ”
- ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องยืนยันเหมือนกัน ว่ามีเอกภาพ โหวตไปทางเดียวกันแน่นอน รักใคร่กลมเกลียวกันดี
- รอบนี้ซับซ้อนขึ้นอีกหน่อย เมื่อมีประเด็นที่เกี่ยวกับ “สถาบันเบื้องสูง” มาอยู่ในหัวข้อการอภิปรายด้วย ประธานผู้ทำหน้าที่ควบคุมการประชุมให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบ คงงานหนักมาก ยิ่งมีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนรับชมรับฟังด้วย ประธานคงยิ่งหวั่นไหว และคงใช้ความเคร่งครัดถึงขีดสุด ในการจัดการประชุม
- อีกทางหนึ่ง ขุนพลฝ่ายประท้วงของรัฐบาลคงนั่งท่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และระเบียบของการอภิปรายเอาไว้ดักประท้วง ยุติการพูดอย่างต่อเนื่องเอาไว้แล้ว และมีการขู่ก่อนอภิปราย ว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นระยะๆ
ลองมาดูของจริงจากพื้นที่ข่าวกันครับ
1) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า ว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีความพยายามทำทุกช่องทางทั้งตามกฎหมายและการเดินเกมในสภาเพื่อยุติการตรวจสอบรัฐบาลในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงเห็นชัดว่าทั้งรัฐมนตรีและสส.พยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้าน ทั้งการกล่าวหาว่าเนื้อหาในญัตติไม่เหมาะสม และการ
ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความว่า ญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พฤติกรรมของฝ่ายรัฐบาลที่แสดงความหวั่นวิตกอย่างเห็นชัด แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่กลัวการอภิปรายของฝ่ายค้าน แต่ในทางกลับกันมีการพยายามที่จะส่งสส.ของพรรครัฐบาลมาขอเจรจากับขุนพลของพรรคฝ่ายค้าน มาขอข้อมูลว่าจะอภิปรายเรื่องใด หรือการขอร้องว่าให้อภิปรายแบบไม่รุนแรงมากนัก
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวด้วยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้พรรคฝ่ายค้าน จะเน้นหนักไปที่ความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน และการทุจริตเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์เอกชน การแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งมีหลักฐานชัด นอกจากนี้คือ พฤติกรรมที่น่ารังเกียจของรัฐบาล ในการแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งประชาชนรับไม่ได้ กับพฤติกรรมของรัฐบาล
“ภายหลังการอภิปราย ฝ่ายค้านเดินหน้าต่อในการยื่นหลักฐานการทุจริตของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อส่งต่อให้ศาลการเมืองเดินหน้าเอาผิด เชื่อว่าจบการอภิปรายอาจมีรัฐมนตรีตกเก้าอี้ หนักสุดคือ ติดคุกรวมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองด้วย ขอให้ประชาชนติดตามการอภิปรายครั้งนี้ให้ดีแล้วประชาชนจะทราบว่าคำว่าเสียสละเข้ามาทำงานเพื่อประเทศไม่มีจริง”นายแพทย์ชลน่าน กล่าว
2) คำพูดนี้ ถูกตอบโต้ด้วยผู้ที่ควรจะได้เป็นโฆษก แต่ก็ไม่ได้เป็น
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีรัฐมนตรีตกเก้าอี้และติดคุก พร้อมทั้งกล่าวหารัฐบาลเดินเกมหลังบ้านเจรจาฝ่ายค้านว่า
ตนรู้สึกผิดหวังกับนพ.ชลน่านมาก พักหลังชักไม่อยู่กับร่องกับรอย ทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลน ออกมาปั้นน้ำเป็นตัว โกหกหน้าตาย ยืนยันว่ารัฐบาลไม่กลัวการอภิปราย พร้อมที่จะชี้แจงทุกเรื่องเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด และรัฐบาลไม่เคยส่งใครไปเจรจากับสส.ฝ่ายค้านทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ทั้งบนดินและใต้ดิน เพราะไม่มีความจำเป็น
ด้วยศักยภาพของฝ่ายค้าน ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ที่สำคัญ รัฐบาลนี้ไม่มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเหมือนรัฐบาลในอดีต แต่ขอให้ฝ่ายค้านอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ อย่าโจมตีรัฐบาลด้วยข้อมูลเท็จ ขอให้นำความจริงมาอภิปราย ประชาชนจะได้ประโยชน์
ส่วนกรณีที่บอกว่า หลังอภิปรายจะมีรัฐมนตรีต้องติดคุกและตกเก้าอี้นั้น ที่ผ่านมาตนเห็นแต่รัฐมนตรีในสมัยพรรคเพื่อไทยที่ต้องติดคุกเพราะคดีโกงจำนำข้าว
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมที่จะชี้แจงทุกเรื่อง มั่นใจว่า รัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทุกอย่างยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่มีการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อประโยชน์ของตัวเองตามที่ นพ.ชลน่านกล่าวหา หากมีหลักฐาน ก็เปิดเผยให้พี่น้องคนไทยทราบ จะได้รู้ว่าใครกันแน่โกงประชาชน
ทั้งนี้ ตนเข้าใจว่า นพ.ชลน่าน พยายามโหมโรงการอภิปรายให้ประชาชนสนใจ เพราะทราบว่าประชาชนไม่ค่อยสนใจการอภิปรายของฝ่ายค้าน ที่มักมีแต่ข้อมูลเก่าๆ แต่ประชาชนสนใจการชี้แจงของพล.อ.ประยุทธ์มากกว่า เพราะได้เนื้อหาสาระครบครัน จริงใจ และไม่เฟค
3) ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจากข่าวจะตกเป็นเป้าถูกล็อบบี้คะแนนโหวตน้อยสุด ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ข้อมูลที่เราจะหักล้างข้อกล่าวหามากกว่า และเพื่อนสมาชิกที่เป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในสภาเองก็นั่งฟังดูข้อมูลที่เราอภิปรายตอบโต้หักร้างไปว่าสิ่งที่เราพูดนั้นน้ำหนักของใครมีมากกว่ากัน ตนเชื่อว่าในสิ่งที่มีข่าวต่างๆออกไปไม่ใช่เรื่องจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เป็นเรื่องของรัฐบาลและมติแต่ละพรรค ไม่น่ามีประเด็นอะไร
เมื่อถามว่า ที่มีการเก็งข้อสอบคิดว่า เก็งตรงหรือไม่ หรือถูกสับขาหลอก นายสุชาติกล่าวว่าตนเป็นคนที่ชอบเดาอะไรถูกอยู่แล้วทุกครั้ง
“ผมว่า คงไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องของการทำงานและในส่วนที่เขาอาจจะกล่าวหาเราเพิ่มเติม หรือกรณีที่ยื่นอภิปรายในเรื่องยุยงปลุกปั่นไม่เห็นด้วยกับคนเห็นต่าง
ซึ่งในชีวิตเราเกิดมาแต่เด็กเราก็รับการปลูกฝังในเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาแต่เด็ก ในสิ่งที่พี่น้องประชาชนจะออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในหลักประชาธิปไตย เราเองไม่สามารถไปห้ามกันได้ คนเรามีความเห็นต่างได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายในรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ ผมก็พร้อมจะตอบทุกเรื่อง ในสิ่งที่ถูกต้องและพ่อแม่สอนเรามาตั้งแต่เด็กเราก็ยืนหยัดในหลักของความเป็นจริง”
เมื่อถามว่า มีข่าวว่ามี สส. ฝ่ายรัฐบาลต่อสายถึงฝ่ายค้านขอข้อสอบในฐานะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีการคุยกับฝ่ายค้านบ้างหรือไม่
นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่ได้คุย ตนเชื่อว่า วันนี้ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลเอง ผู้ที่โดนอภิปรายก็ไม่กล้าไปเจอกันเดี๋ยวจะหาว่าเตี๊ยมกัน เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่และในเพื่อนฝ่ายค้านหลายๆ คนที่เป็นผู้อภิปรายก็รู้จักหลายคน แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ และเราขอให้ทุกคนทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นข้อมูลที่เป็นความเป็นจริง ทำการเมืองหรือรับใช้ประเทศชาติ ก็ขอให้พูดในสิ่งที่เป็นความจริง การจะพูดอะไรที่เลยเถิดไม่ใช่เรื่องความเป็นจริง เชื่อว่า โลกสมัยนี้ในโลกโซเชียลหรือการที่ประชาชนติดตามจะเป็นผู้ลงโทษเองหากใครเอาข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมาพูดในสภา ขอให้เชื่อมั่นเราทำอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเราตอบได้อยู่แล้ว
4) ส่วนปมปัญหาเรื่องการโหวตของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความกังวลว่าจะโหวตแตกแถวนั้น นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมพูดคุยร่วมเตรียมการชี้แจงกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อเตรียมพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 16-19 ก.พ. ซึ่งข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมกับพรรคร่วมรัฐบาลในการสนับสนุนข้อมูล กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นห่วง คือ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีความเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประชาธิปัตย์ อยากขอให้พรรคฝ่ายค้าน ยึดข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นสำคัญ ไม่อยากให้อภิปรายพาดพิง สถาบัน ซึ่งหากต้องการให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ขอให้หลีกเลี่ยงในประเด็นสถาบัน เพราะจะเป็นการผิดข้อบังคับ
เมื่อถามว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์จะมีเอกภาพในการโหวตยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายอัครเดชกล่าวว่า เชื่อว่า การอภิปรายครั้งนี้ จะมีเอกภาพเหมือนกับการอภิปรายครั้งที่ผ่านมา เมื่อทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ฟังการชี้แจงของรัฐมนตรีแต่ละคนแล้ว โดยข้อบังคับและระเบียบปฏิบัติของพรรค จะมีการประชุมหารือ เพื่อให้การลงมติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นมติพรรค และเราก็เชื่อว่า การลงมติในครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
5) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และประธานคณะทำงานสนับสนุนผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ (สสอ.) กล่าวว่า ทีมวอร์รูมนอกสภาฯ ที่มีคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจากทุกกระทรวง ทุกพรรคการเมืองประชุมร่วมกันไปแล้ว 2 ครั้ง โดยในวันอภิปรายจะใช้ห้องวอร์รูม ที่อาคารรัฐสภา ชั้น 4 ห้องของนายสิระ เจนจาคะ ประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อประสานงานการทำงานของคณะทำงาน
“ในการสัมมนาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนี้ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีมาร่วมกัน 10 คน เพื่อมาประสานงานกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายทศพล เพ็งส้ม ฝ่ายกฎหมายพรรค พปชร. เพื่อมาพูดคุยกันในประเด็นข้อกฎหมาย ว่า ในกรณีที่พรรคการเมืองและสส.อภิปรายพาดพิง จาบจ้วง ก้าวล้วงสถาบันในทางเสียหาย เราจะดำเนินการคดีตามมาตรา 112 ทันทีโดยไม่รอเวลา ยืนยันว่าเราจะดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือว่า ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เราได้บอกผู้นำฝ่ายค้าน และพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นญัตติที่กระทบหัวใจคนไทยมากที่สุด” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าว
ในช่วงโหมโรงนั้น ดูจะไม่ผิดความคาดหมาย แต่เมื่อถึงการอภิปรายจริงๆ จะออกมาอย่างไร ควรต้องติดตามกัน
จะถึงขั้นล้มรัฐบาลหรือชนะการโหวตในสภานั้นคงไม่ได้ แต่หากทำให้ประชาชน “รู้สึกไม่ไว้วางใจ” ใครได้สักคน ด้วยข้อมูลที่อภิปราย ก็นับว่าฝ่ายค้านทำงานได้ “น่าไว้วางใจ” กว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี