เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ถูกสร้างขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในประเทศของเรา วางความเกลียดชังที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านในประวัติศาสตร์ที่เคยถูกใช้ เพื่อให้คนในชาติหลอมรวมเป็นหนึ่ง มาสู่การสร้างปีศาจในชาติ เพื่อ “แบ่งแยก” แล้ว “ปกครอง” โดยนักฉวยโอกาส และนักสร้างสถานการณ์ จนนำมาสู่ “รอยร้าวที่ยากจะประสาน” อย่างในปัจจุบัน
ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับการที่ “ประชาชนเกลียดกันเอง” แล้วพลีตนเป็น “ฐานรองตีน” ให้นักการเมือง และทหาร สมคบกัน ยึดกุมอำนาจ พร้อมๆ กับการเอา “หลักของชาติ” อย่างสถาบันมาเป็น “หลังอิง” พร้อมๆ กับสาดความเกลียดชังเข้าใส่คนรุ่นใหม่ เพื่อลุกฮือขึ้นแทนคนรุ่นก่อน สร้าง “สงครามตัวแทน” ที่เพาะเชื้อจากความโกรธเกรี้ยว เกลียดชัง ชนิดที่ความเกลียดชังนั้น ทวีคูณขึ้นอย่างมหาศาล จนกัดกิน “สติปัญญา” ไปเกือบหมดสิ้น
กัดกินชนิดที่เรื่องง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องโง่ๆ เช่น การแซะ/แขวะ ว่า วันหยุดนักขัตฤกษ์ ศาลก็ยังลุกขึ้นมาทำงาน ด้วยการ “ปล่อยตัวชั่วคราว” หรือ “ให้ประกันตัว”
แกนนำ กปปส. ทั้งๆ ที่ระเบียบของศาลมีการเผยแพร่และโฆษกศาลออกมาให้ความรู้ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ว่าการขอประกันตัว หรือขอปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ศาลวางระเบียบให้มีการพิจารณาได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด
กัดกินชนิดแยกกันไม่ออกว่า กปปส. ได้รับการปล่อยตัวหลังศาลประทับรับฟ้องแล้วไม่เคยไปก่อความผิดซ้ำไม่เคยหลบหนี จนมาถึง เมื่อศาลมีคำพิพากษา แล้วอยู่ระหว่างรอศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะปล่อยตัวชั่วคราวหรือจะคุมขัง จึงยังไม่ต้องตัดผม อย่างนี้เป็นต้น
ยังมีความเกลียดชังในกรณีอื่น ที่เห็นได้ชัดว่ามากัดกินสมองและความมีเหตุมีผลไปเสีย คือ
1) ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า (26 ก.พ.) เฟซบุ๊ค Veeraporn Nitiprapha ของนางวีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ และผู้ก่อตั้งกลุ่มแคร์ ร่วมกับ
นายภูมิธรรม เวชยชัย และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เครือข่ายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน โพสต์ข้อความหลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษาชั้นต้น จำคุกแกนนำและแนวร่วมกลุ่ม กปปส. นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาระบุว่า “สิ่งที่เพื่อนๆ กปปส.อาจไม่รู้ เด็กๆ รุ่นใหม่โกรธและเกลียดพวกคุณมากนะ หลายคนจดจำพ่อแม่ที่อบอุ่นน่ารักเข้าอกเข้าใจ ซึ่งกลายสภาพเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติในช่วงเวลาการเคลื่อนไหวนั้นได้ และเขาก็ไม่ให้อภัยช่องทีวีหลายๆ ช่องที่ปลุกปั่นพ่อแม่เขาด้วย ความเกลียดชังมหาศาลหนนั้นกัดกร่อนทำลายจนพ่อแม่เขาไม่เคยกลับไปเป็นคนเดิมอีก มิหนำ การล้มรัฐบาลเลือกตั้งเชียร์รัฐประหารยังทำให้บุพการีเหล่านั้นเลี้ยงดูพวกเขามาอย่างใช้อำนาจเผด็จการ และทำลายวัยเด็กของพวกเขาไปไม่รู้จะบอกพวกพ่อแม่ยังไง เวลามาปรึกษาว่าทำไมลูกไม่รัก”
2) เช่นกันกับคอลัมน์ “อ่านเอาเรื่อง” โดย “ผักกาดหอม” หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่อ้างโพสต์นี้ของนางวีรพร และให้ความเห็นว่า
“..นึกไม่ถึงว่านี่คือข้อเขียนของนักเขียนรางวัลซีไรต์แต่เมื่อดูพื้นฐานในฐานะ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มแคร์ ก็ไม่ประหลาดใจอะไร เพราะเป็นสาวก “ทักษิณ”
ครับ...มันก็ธรรมดาสำหรับคนรักทักษิณ ไม่จำเป็นต้องมีดีกรีนักเขียนซีไรต์หรือดับเบิลซีไรต์ ดาดๆ ก็มีมุมมองต่อ กปปส.แบบนี้
ก็น่าเสียดาย คนมีความรู้ มีความสามารถ น่าจะสร้างความไม่ธรรมดา ในมุมมองที่มีต่อคนที่เห็นต่างทางการเมืองได้
กปปส.สร้างความฉิบหายให้กับสังคมไทยจริงหรือไม่? โดยเฉพาะสังคมหน่วยที่เล็กที่สุด คือ...ครอบครัว
คนรุ่นใหม่ รุ่นลูกโกรธเกลียด กปปส. เพราะพ่อแม่ ที่อบอุ่นน่ารัก กลายสภาพเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติ อย่างนั้นหรือ ก็อยากถามกลับว่า แล้วความเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติของม็อบ 3 นิ้วมาจากไหน?
ถ้าคุยกันเรื่องพวกนี้ มันต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยเรื่องชอบหรือไม่ชอบ จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเกลียดชัง
มีบทสัมภาษณ์ของ “วีรพร นิติประภา” เมื่อเดือนตุลาคม 2561 โดยประชาชาติธุรกิจ ถึงวิธีการเขียนนวนิยาย พูดเอาไว้น่าสนใจครับ
“....ทุกครั้งต้องถามตัวเองว่า เราได้ให้ความยุติธรรมกับตัวละครทุกตัวหรือไม่ พี่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
งานเขียนมันจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่พล็อตประหลาดมหัศจรรย์ แต่อยู่ที่ตัวละครทุกตัวได้รับความยุติธรรมเท่ากัน มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน มีเหตุและผลเพียงพอที่เขาจะทำดี ทำชั่ว ฆ่าตัวตาย หัวเราะ ร้องไห้ เราจำเป็นต้องสร้างสิ่งนี้ให้มีอยู่ในเรื่อง ต่อให้เรื่องจะงี่เง่าแค่ไหน ขายได้ ขายไม่ได้ ก็อีกเรื่องหนึ่ง...”
เป็นเรื่องน่านับถือครับ กับการให้ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ของตัวละคร และจะยิ่งน่านับถือมากขึ้นไปอีกหากมองความเท่าเทียมในตัวมนุษย์จริงๆ แต่น่าเสียดาย กปปส.ในสายตา “วีรพร นิติประภา”เทียบกับตัวละครในนวนิยายไม่ได้เลย
กปปส.ไม่มีพล็อตมหัศจรรย์ มีแค่ 24 ชีวิตที่ต้องสูญเสียไป และอีกกว่า 900 คน ได้รับบาดเจ็บ มีแกนนำที่ยืนหยัด แม้รู้ว่าคุกรออยู่ข้างหน้า ไม่คิดหนีไปไหน ต่างไปจากกลุ่มแคร์ที่อัดแน่นไปด้วย “เด็กทักษิณ” คือทักษิณที่หนีคดีโกงไปต่างประเทศ ให้คนอยู่ข้างหลังติดคุกแทน ฉะนั้นหากจะพูดถึงความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ต้องมองข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ออกก่อน
พ่อแม่รุ่น กปปส.ทำในสิ่งที่เด็ก 3 นิ้วไม่ทำ
กปปส.ตอกย้ำให้เห็นถึงการคอร์รัปชั่นมโหฬารในรัฐบาลระบอบทักษิณ และความพยายามจะนิรโทษกรรมให้คนโกง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรุนแรงในถ้อยคำบนเวทีปราศรัยนั้น มีอยู่ทุกม็อบ แต่ก็มีดีกรีความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไปถ้าบอกว่าบนเวที กปปส.เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติ บนเวทีเสื้อแดงหนักกว่าหลายเท่า
...เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง...
...ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมันหนึ่งล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน....
หรือแม้กระทั่งม็อบ 3 นิ้ว ความเกรี้ยวกราด หยาบคายเสียสติ ต้องคูณเป็นร้อยเท่า
“วีรพร นิติประภา” ประเมินผิดเพราะความเกลียดชัง
สำหรับพ่อแม่ยุค กปปส.แล้ว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย ที่ทีวีจะปั่นหัวให้เชื่อกันง่ายๆ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง
ม็อบ กปปส.คือม็อบชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งก็อธิบายในตัวมันเองอยู่แล้วว่าคนกลุ่มนี้คือคนแบบไหน หากลูกๆ มองเป็นปีศาจทำร้ายครอบครัว ทำลายเด็ก ประเทศไทยล่มจมไปนานแล้ว
ขณะเดียวกัน เด็ก 3 นิ้ว กำลังลากความขัดแย้ง สร้างความเกลียดชัง เป้าหมายล้มล้างสถาบันนี่ต่างหาก จะพาประเทศไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่ “วีรพร นิติประภา” รู้หรือเปล่าว่า เด็ก 3 นิ้วเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน?
ครับ...แม้จะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดี กปปส. แต่มีประเด็นที่สำคัญซ่อนอยู่ ไปดูฐานความผิดของ “กำนันสุเทพ”
....ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ, ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้ใดผู้หนึ่งมีอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก, ฐานร่วมกันบุกรุกสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นในเวลากลางคืน และฐานทำให้เสียทรัพย์
ฐานร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น, ฐานร่วมกันกระทำการใดโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิ์ได้, ฐานร่วมกันยุยงให้เกิดการร่วมกันหยุดงานเพื่อบังคับรัฐบาล....
นับจากนี้ไปแกนนำม็อบทุกม็อบต้องเตรียมใจตั้งแต่แรกว่า วันหนึ่งจะต้องเจอแบบที่กำนันสุเทพและคณะกำลังเจออยู่ในตอนนี้ และมาถึงจุดที่คนไทยต้องร่วมกัน
คิดว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่การเมืองต้องแก้ไขกันในสภาฯ การเปลี่ยนแปลงต้องผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่บนถนนไม่เช่นนั้นจะสลับข้างไม่จบสิ้น
แต่การนำความขัดแย้งไปแก้ในสภาฯ ก็เป็นเรื่องยาก หากนักการเมืองไม่ปฏิรูปตัวเอง
3) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า
“สิ้นเสียงคำพิพากษาของศาลในคดีกปปส. มีทั้งคนร่ำไห้ และคนหัวเราะเยาะ ในทางการเมือง ถือว่า กลุ่มกปปส.อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบคุณทักษิณ ชินวัตร ผมอยากยกตัวอย่าง “ความเหมือน” และ “ความต่าง” ของเรื่องนี้
ความเหมือน คือ ศาลที่ตัดสินจำคุกกลุ่มกปปส. คือ ศาลสถิตยุติธรรม ศาลเดียวกับที่ตัดสินกลุ่มคนที่สนับสนุนคุณทักษิณ ความต่างคือ กลุ่มกปปส.เผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้ กลุ่มสนับสนุนคุณทักษิณ ไม่เผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรม เลือกที่จะหลบหนีไป
ความต่างคือ กลุ่มกปปส.ไม่เคยก่นด่าว่ามีความยุติธรรม 2 มาตรฐาน แต่กลุ่มสนับสนุนคุณทักษิณก่นด่าว่ามีความยุติธรรม 2 มาตรฐาน
ประการสุดท้าย หลังศาลตัดสิน กลุ่มสนับสนุน กปปส. เลือกที่จะเอามือซบกับหน้าแล้วร่ำไห้ กลุ่มสนับสนุนคุณทักษิณ เลือกที่จะหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
ประเทศนี้ เป็นประเทศเสรีครับ ท่านมีสิทธิที่จะร่ำไห้ และ ท่านมีสิทธิที่จะหัวเราะ แล้วแต่ความเชื่อของท่าน”
4) มีความพยายามจะทำให้คดี กปปส. กับคำพิพากษาจำคุกของศาลเป็นแค่ “ละคร” เดี๋ยวก็ไปปล่อยในชั้นอุทธรณ์ หรือไม่ก็ฎีกา กับอีกพวกหนึ่งก็ฟูมฟายว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ซึ่งการคิดทั้ง 2 ขั้วนี้ล้วนตั้งอยู่บนความเชื่อว่า กปปส.กับทหาร ที่สืบทอดอำนาจมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันเป็น “พวกเดียวกัน” และ “รู้กัน” ถึงขั้นที่พวกหนึ่งปรักปรำว่า กปปส. เรียกทหารออกมายึดอำนาจ แย่งอำนาจมาจากรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั้งๆ ที่เวลานั้นมีแค่ “รัฐบาลรักษาการ” ที่ไม่มีอำนาจจะพาบ้านเมืองผ่านพ้นทางตันได้ ทั้งการออก พ.ร.บ.งบประมาณ การออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง และทหารเปิดโอกาสให้ฝ่ายการเมืองคุยกันเพื่อหาทางออกให้บ้านเมืองแล้ว ก็ไม่ให้ในที่สุดทหารก็ยึดอำนาจ
5) แต่ก็นั่นแหละ หลังยึดอำนาจแล้ว กปปส. ก็คิดเอาเองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะรับธุระเรื่อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ไปขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ปรากฏว่า การปฏิรูปเรื่องสำคัญๆ แทบไม่เดินหน้า ผลาญเงินแผ่นดินไปกับการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมา 2 ชุด และอยู่ในแผนการปฏิรูปที่ปัจจุบันควรแถลงสักหน่อยเถิดว่า ได้ปฏิรูปอะไรไปแล้วอย่างไร โดยเฉพาะการปฏิรูปที่แน่นิ่งที่สุด คือ ปฏิรูปตำรวจ
สุดท้ายแล้ว คสช. แทนที่จะเป็นแค่คนกลางเข้ามาดำเนินการ “ปฏิรูป” แล้วคืนการเมืองสู่ฝ่ายการเมืองและประชาชน กลับยังติดลม อ้อยอิ่ง แถมทำกติกาบางอย่างเอื้อให้ตัวเองรักษาอำนาจไว้เสียอีก มันจึงไปเติมความชอบธรรมให้แก่อีกพวกหนึ่ง ซึ่งก็โชคดีที่อีกพวกหนึ่งก็สุดโต่ง ทะลึ่งบ้องไปเล่นงานสถาบันเบื้องสูง จนกลายเป็นปฏิปักษ์กับคนไทยที่จงรักภักดีไป
บ้านเมืองจึงไม่ได้อะไร มวลชนทุกสีเสื้อสู้มา เพื่อจะได้นักการเมืองแบบ “กะหรี่เวียนซ่อง” เข้าสู่สภา สังวาสกับทหารที่มีพวกช่วยทำกติกาและร่วมรับประโยชน์จากกติกามานั่งเสวยสุขเป็น สว. แล้วมาสมคบกับนักการเมืองทำตัวเป็น “เผด็จการรัฐสภา” หนุนกฎหมายนั้น ขวางกฎหมายนี้ ข่มขู่จะยุบพรรค จะดำเนินคดี สารพัดที่จะ
ยอมให้ฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่สุจริตเช่น ไปขู่พรรคก้าวไกลว่า เสนอแก้กฎหมายมาตรา 112 ประเดี๋ยวจะโดนยุบพรรค ประเดี๋ยวจะติดคุก เลวมากฝันสูง ฯลฯ
ก็ประเทศนี้ ทางเดียวที่เดียวที่จะแก้กฎหมายได้อย่างถูกต้องคือฝ่ายนิติบัญญัติไม่ใช่หรือ เขาอยากแก้กฎหมายอะไรก็ให้เขาเสนอเถอะ ถึงเวลาฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหมดไม่เห็นด้วย ข้อเสนอนั้นก็ตกไป ไม่ใช่ไปข่มขู่ นำพาผู้คนไปด่าทอ แค่เขาเสนอกฎหมาย แม้เนื้อหากฎหมายจะมีนัยอะไรก็ตามเถอะ เราก็ต้องยินดีให้เขาเสนอ แต่เราไม่เห็นด้วย และไม่โหวตให้ก็แค่นั้นเอง
ในที่สุดแล้ว แกนนำทุกสีจะติดคุก พวกเสวยสุขคือพวกที่ไม่ต้องออกไปต่อสู้กับอะไรเลย แค่เจรจาผลประโยชน์กันให้ลงตัวก็พอแล้ว
การสู้ข้างถนนสุ่มเสี่ยงมากครับ ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้าง อำนาจต่อรองก็ไม่เกิด ฝ่าฝืนกฎหมายก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย ดังนั้น หันมาจัดการกับการเมืองในสภาฯให้มีคุณภาพกันดีกว่า อย่าให้สภาฯเป็นที่เสวยสุขของคนบางจำพวกได้แล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี