หนังสือ The King of Thailand in World Focus ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศทำเพื่อเทิดพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 9
ผมเริ่มเขียนบทความให้ “แนวหน้า” เมื่อหลายปีก่อนใช้ชื่อคอลัมน์ “วิพากษ์สื่อเทศวิเทศสื่อไทย” เพราะทนไม่ได้กับสื่อขาดจรรยาบรรณ ขาดความเป็นมืออาชีพ ขาดการพัฒนาที่ดีขององค์กรสื่อเอง
ในอุตสาหกรรม ธุรกิจและกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องยนต์กลหรือธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมการบิน โรงแรม ท่องเที่ยวและอื่นๆ หน่วยงานหรือองค์กรเหล่านั้นต่างก็มีศูนย์อบรมศูนย์พัฒนาบุคลากรของตัวเองเพื่อเพิ่มทักษะและการชำนาญงานให้กับบุคลากรและแรงงาน
มีแต่อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนในประเทศไทย ที่มีองค์กรใหญ่ ก่อนโควิดดิสรัปชั่น ในธุรกิจด้านนี้มีคนทำงานนับแสนคน แต่ไม่มีสื่อไหนที่มีแผนกหรือหน่วยงานสำหรับพัฒนาการ อบรมหรือสอนการทำงานของผู้สื่อข่าว
นักข่าวที่เรียนจบมาใหม่ๆ ก็ตามรุ่นพี่ จำรุ่นพี่มาอย่างไรก็ทำอย่างนั้นจึงพูดได้ว่าไม่มีนักข่าวมืออาชีพอย่างแท้จริง
เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนสมัยที่ผมทำงานกับสำนักข่าวรอยเตอร์ผมเคยร่วมเป็นวิทยากรให้กับนักข่าวใหม่ที่สมาคมนักข่าวจัดขึ้นทุกปีและบางคราวก็ไปร่วมบรรยายที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาฯและมหาวิทยาลัยเพชรบุรี
ผมไปบรรยายที่ไหนมักไปมือเปล่าไม่มีสคริปหรือหนังสือประกอบ ต่างกับวิทยากรท่านอื่นๆ ที่มีอุปกรณ์พร้อม มีอยู่ครั้งหนึ่งสมาคมผู้สื่อข่าวจัดอบรมนักข่าวใหม่ที่เขาใหญ่ มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนปริญญาโทนิเทศศาสตร์ นำตำราที่ท่านเขียนและประกอบการสอนไปแจกจ่ายให้กับนักข่าวใหม่ที่เข้าอบรมทุกคน
ผมได้มาเล่มหนึ่งด้วยก็นั่งอ่านไปฟังท่านบรรยายไป พอท่านบรรยายจบผมขึ้นบรรยายต่อ ผมบอกกับนักข่าวใหม่ในห้องอบรมว่าให้เปิดอ่านหนังสือที่อาจารย์ท่านนั้นมอบให้แล้วอ่านไปจนถึงหน้าสิบแปด (เพราะผมอ่านไปได้แค่นั้น) แล้วให้พลิกหนังสือเอาหัวลงนั่นแหละคือข้อมูลที่ถูกต้อง
“เพราะผมพบว่าสิบแปดหน้าแรกของหนังสือเขียนผิดหมด แสดงว่าหนังสือเขียนมาจากคนที่ไม่มีประสบการณ์การทำข่าวเลย เขียนมาจากคนที่ไปหยิบเอาตำราต่างประเทศและไปอ่านบทความที่นักข่าวฝรั่งเขียนแล้วมาปะติดปะต่อเป็นตำราตัวเอง”
สื่อไทยนักข่าวไทยส่วนใหญ่จึงได้ชื่อว่าขาดการอบรมขาดการเป็นมืออาชีพ ขาดจรรยาบรรณ ดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ผมถึงได้พูดว่าสื่อใส่ยาพิษให้กับสังคมมานานแล้ว และยาพิษในยุคดิจิทัลยิ่งร้ายแรงทารุณโหดร้ายทำให้สังคมไทยวิบัติอยู่ทุกวันนี้”
ผมไม่เคยเรียนนิเทศศาสตร์ แต่รับการอบรมสั่งสอนมาจากศูนย์อบรมการนำเสนอข่าวมาจากสำนักข่าวสากลคือ UPI Reuter and AP สำนักข่าวเหล่านี้เขามีศูนย์อบรมมีตำราหรือ Texbook เป็นของตัวเองซึ่งหลักสูตรส่วนใหญ่ต่างกับที่นักเรียนไทยทุกวันนี้ปฏิบัติ
ตัวอย่างเช่นการวางตัวห้ามสนิทสนมกับแหล่งข่าวจะได้ข่าวดี ห้ามรับทรัพย์จากแหล่งข่าวเพราะเราจะเป็นหนี้บุญคุณเขา ถ้าเดินทางไปทำข่าวให้ใช้เงินของบริษัท
ห้ามสนิทกับแหล่งข่าวจะได้ข่าวดีอย่างไร คือในทุกหน่วยงาน ทุกพรรคการเมือง จะมีคู่แข่งภายในถ้าไปสนิทกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่ได้ข่าวจากอีกฝ่าย ข่าวเอ็กคลูซีฟส่วนใหญ่คือหลอกใช้หรือให้สินจ้าง
แต่ผมเห็นนักข่าวไทยสนิทกับแหล่งข่าว กินเหล้ากับแหล่งข่าว เล่นกอล์ฟกับแหล่งข่าว เวลาเดินทางไปต่างประเทศรับเบี้ยเลี้ยงจากกระทรวง จากแหล่งข่าวออกค่าเดินทางที่พักให้ แน่นอนต้องเกรงใจแหล่งข่าวและได้ข่าวที่หลอกใช้เราจึงมักได้วลีที่ “เอ้ย ไอ้น้องข่าวนี้นายเขาขอนะ”
ข่าวขอกันไม่ได้ ผมขอยกตัวอย่างสักเรื่องแล้วกัน (ผมคนเรื่องมาก) เมื่อคราวสงครามกลางเมืองในกัมพูชากำลังร้อนแรงเพราะเขมรแบ่งเป็นฝ่ายเขมรคอมมิวนิสต์สายรัสเซีย เขมรคอมมิวนิสต์สายจีน
เขมรสายรัสเซียนำโดย “เฮง สัมริน” มีเวียดนามหนุนหลังส่งทหารเข้ามายึดกรุงพนมเปญและฐานที่มั่นอยู่พนมเปญ ส่วนสายจีนมี เขมรแดง นำโดย พลพต เขมรเสรีของนายซอน ซาน และ ฟุนซินเปกของเจ้าสีหนุ มีจีนและอาเซียนสนับสนุน
สมัยนั้นไทยไม่มีความสัมพันธ์กับเขมรพนมเปญ นักข่าวไทยเลยต้องทำข่าวเกาะติดเขมรสามฝ่ายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
เขมรพนมเปญเห็นว่าเราผู้สื่อข่าวรอยเตอร์เสนอข่าวเขมรสามฝ่ายด้านเดียว โดยเฉพาะเขมรแดงมากเกินไปอยากให้ไปทำข่าวเขมร เฮง สัมริน ซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่กรุงพนมเปญบ้าง แต่เนื่องจากไทยกับกัมพูชาไม่มีความสัมพันธ์กันเขมร เฮง สัมริน จึงส่งเรือมารับเรากับช่างภาพคู่ใจที่เกาะกงเพื่อเดินทางไปพนมเปญ
พวกเราโดยสารเรือจากเกาะกงไปถึงแซรอัมปึนช่วงน้ำลง ปรากฏว่าเรือเกยตื้นรอน้ำขึ้นอยู่ ในเวลานั้นเองมีเรือหางยาวบรรทุกทหารมาหกคน มาไถเงินจากเรือที่เราโดยสารไปซึ่งมีผู้ว่าแซรอัมปึนและรัฐมนตรีข่าวสารกัมพูชาอยู่ในเรือด้วยเลยไม่อยากให้ทหารตัวเองไถเงินต่อหน้านักข่าว
ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้ทหารของตัวเองทำอิดเอื้อนต่อรอง ทหารที่อยู่ในหางยาวยิงปืนกลเบาลงน้ำสองชุดเท่านั้นแหละทั้งกระเป๋าตังค์ทั้งของมีค่าถูกโยนลงไปให้ทหารที่มาปล้นรัฐมนตรีกับผู้ว่า
พอโจรในคราบทหารรัฐบาลจากไปผู้ว่าเดินมาตบไหล่แล้วพูดว่า “สุทิน เรื่องนี้อย่าเป็นข่าวเลยนะมันมีทหารเลวสองสามคนมันอดอยาก...”
ผมตอบไปว่า “ตั้งแต่ออกจากเกาะกงมาผมเพิ่งเห็นว่าข่าวนี้แหละพอรายงานได้..” เรือเทียบท่าเสร็จเราเข้าที่พักผมรีบรายงานข่าวเข้ากรุงเทพฯผ่านโทรศัพท์ใช้สัญญาณดาวเทียมของบริษัท
เรานัดหมายไว้ก่อนเข้าที่พักว่าจะมีรถหุ้มเกราะนำเราเข้ากรุงพนมเปญตอนย่ำรุ่งคือตีห้า ผมตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสามปรากฏว่าขบวนรถรัฐมนตรีและรถหุ้มเกราะหายไปแล้ว ถามยามหน้าประตูเขาบอกว่าขบวนของรัฐมนตรีออกเดินทางไปพนมเปญนานแล้ว
ผมกับอภิชาติ วีระวงษ์ ช่างภาพคู่ใจถูกปล่อยเกาะอยู่แซรอัมปึน ส่วนเราต้องผจญภัยอย่างไรเรื่องมันยาวสรุปว่า ข่าวขอกันไม่ได้ #คือขอให้ทำข่าวให้ก็ไม่ได้ขอไม่ให้ทำข่าวก็ไม่ได้#
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะเห็นว่าผู้สื่อข่าวรุ่นใหม่หลายคน ไม่ใช่แหล่งข่าวขอให้ทำข่าว แต่ดูเหมือนว่ากระตือรือร้นที่จะทำปฏิบัติการข่าวปลุกระดมให้กลุ่มคนชั่วร้ายมุ่งทำลายสถาบันหลักของชาติเสียเอง โดยเฉพาะข่าวของกลุ่มที่มุ่งร้ายสถาบันที่มีหลายชื่อแต่มีหมายทำร้ายทำลายสถาบันด้วยกัน
ตั้งแต่กลุ่มคนชั่วร้ายเริ่มประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ นักข่าวบางกลุ่ม บางสำนักเสนอข่าวด้านเดียวให้กับกลุ่มคนชั่วร้ายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่อ้อมค้อม
กลุ่มคนชั่วร้ายปราศรัยโจมตีใส่ร้ายด่าว่าสถาบันฯหยาบคายชั่วช้าอย่างไร นักข่าวเครือข่ายถ่ายทอดสดเอามาใส่สีตีไข่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายและไม่เกรงใจว่าประชาชนจะเศร้าสลดใจและโกรธแค้นอย่างไร
ในบางครั้งเรารู้สึกว่าผู้สื่อข่าวที่เกาะติดความเคลื่อนไหวเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของขบวนการชั่วร้าย สื่อบางเครือข่ายที่เป็นตัวการหรือมีผู้บงการเป็นเจ้าของเราเข้าใจว่าเขาทำมาหากินหรือมีอุดมการณ์ล้มสถาบันเหมือนกัน
แต่สื่อที่เคยมีมาตรฐานอย่างรอยเตอร์ และ CNA ของสิงคโปร์ ทำไมถึงได้เสนอข่าวเข้าข้างคนชั่วร้ายทำลายสถาบันด้านเดียว ส่วนไทยพีบีเอสที่ผลาญเงินภาษีไปปีละสองพันล้านบาทนั้นเขาทำข่าวเข้าข้างทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันมานานแล้ว
แต่สำหรับนักข่าวบางคนในรอยเตอร์ที่ทำตัวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการชั่วร้ายทำให้เราแปลกใจและสงสัยว่ายุคที่รอยเตอร์ไม่ได้เป็นรอยเตอร์ของอังกฤษแต่เป็น “ทอมสันรอยเตอร์” ซึ่งแคนาดาเป็นเจ้าของถือหุ้นใหญ่
“ทอมสันรอยเตอร์” ไม่ได้มี texbook สำหรับนักข่าวและไม่ได้ส่งนักข่าวไปอบรมในศูนย์พัฒนานักข่าวทุกปีเพื่อ refesh จรรยาบรรณความเป็นมืออาชีพเหมือนรอยเตอร์ดั้งเดิมแล้วหรือ?โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
สำนักข่าวรอยเตอร์สมัยที่ Kevin Coony เป็นหัวหน้า จำได้ว่าตอนนั้นมีการส่งข้อความภายใน inbox มาจากลอนดอน บอกถึงเรื่องครหาของครอบครัวที่หายหน้าไปจากสังคมไทยรอยเตอร์ในลอนดอนอยากให้เราเช็คข่าวนี้และเสนอข่าวไปจากเมืองไทย
Kevin ตอบกลับไปว่านี่เป็นเรื่องที่ตรวจสอบไม่ได้และเรื่อง (isolate )เฉพาะของแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อครหาไม่ใช่เป็นที่สนใจของสังคมโลก และอีกอย่างหนึ่ง “We have many mounth to feet here” (ที่นี่ประเทศไทยเรามีพนักงานจำนวนมากต้องเลี้ยงดู)
หมายความว่าหัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ในยุคนั้นเห็นคนที่อยู่ในลอนดอนถึงแม้มีข้อครหาเกี่ยวกับสถาบันก็ไม่สามารถตรวจสอบได้และเรื่องที่ครหากันเป็นเรื่องเฉพาะไม่เป็นที่สนใจของชาวโลก เพราะรอยเตอร์
เด่นในเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน เรื่องครหาส่วนตัวเป็น isolate issue
เราถึงแปลกใจว่าทำไม ทอมสันรอยเตอร์ถึงไม่อบรมฝึกฝนนักข่าวให้เป็นมืออาชีพเหมือน “รอยเตอร์” ดั้งเดิม ทำไมปล่อยให้คนชั่วใช้รอยเตอร์เป็นเครื่องมือได้
นอกจากรอยเตอร์แล้ว ตอนย้ายมาอยู่กับสำนักข่าวเอพี ซึ่งมี เดนนิช เกรย์ เป็นหัวหน้าเราสัมผัสได้ว่าเดนนิชซาบซึ้งในพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาก เขาถึงได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำหนังสือ The King of Thailand in World Focus เป็นหนังสือเทิดพระเกียรติของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ความจริงหนังสือทำในนาม FCCT แต่เดนนิชเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ
The King of Thailand in World Focus ซึ่งได้รวมเอาบทความและภาพจากสื่อที่เคยทำข่าวในหลวงจากทั่วโลกถึง 2,500 ชิ้น ตั้งแต่ทรงพระประสูติจนครองราชย์หกสิบพรรษา
โครงการในพระราชดำริของในหลวง ร.๙ ทั้งหมดรวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนั้น บทความของเราเป็นหนึ่งใน 2,500 ชิ้น ที่ได้รับการตีพิมพ์ในหน้า 104
เราเริ่มเขียนบทความให้แนวหน้าเมื่อแปดปีที่แล้วในชื่อคอลัมน์ วิพากษ์สื่อเทศวิเทศสื่อไทย เพราะในเวลานั้นเรารู้สึกว่าได้มีขบวนการทำลายสถาบัน โดยสมคบกันระหว่างสื่อเทศกับสื่อไทย
คือสื่อเทศเขียนบทความโจมตีสถาบันโดยอ้างว่าเขียนโดยนักวิชาการ นักวิจัยในมหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาที่ตั้งขึ้นมาเพื่อโจมตีสถาบันโดยเฉพาะ เมื่อข้อความโจมตีสถาบันตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศ สื่อไทยในเครือข่ายทุนสามานย์ปล้นชาติพยาบาทสถาบันก็เอาไปขยายความต่อและเนื้อหาเหล่านี้ถูกนำไปปราศรัยในเวทีเสื้อแดง
เราสังเกตว่าเนื้อหาที่ฝรั่งเขียนได้ไปจากคนไทยแล้วหมุนเวียนมาใช้ในเมืองไทยโดยอ้างว่าเป็นข้อเขียนของนักวิชาการฝรั่ง นักวิจัยฝรั่ง #แต่การโจมตีสถาบันในยุคนั้นไม่หยาบคายและโฉ่งฉ่างเหมือนทุกวันนี้#
ในยุคที่อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนและพรรคการเมืองบางพรรคล้างสมองปลูกฝังในนักศึกษา ออกหน้าทำลายสถาบันอย่างเปิดเผยหยาบคายในที่สาธารณะอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายและเกรงใจประชาชน โดยที่มีสื่อในเครือข่ายขยายความให้หรือไม่ก็สื่อทำตัวเป็นปฏิบัติการข่าวให้คนชั่วเสียเอง
ถึงได้บอกว่าสื่อยุคใหม่ ใส่ยาพิษร้ายแรงให้สังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี