เข้าสู่ต้นฤดูทุเรียน ก็ปรากฏข่าว “ทุเรียนอ่อน” ออกมาสู่ท้องตลาดทำให้อ่อนอกอ่อนใจ
แน่นอน ผู้บริโภคต้องการบริโภคทุเรียน และปีนี้ราคาก็น่าจะสูงกว่าปีที่แล้วราวๆ 20%
แต่ถ้าระบบการผลิตและจำหน่ายทุเรียนบ้านเรา ไม่สามารถควบคุมคุณภาพ ให้เป็นที่เชื่อมั่นในสายตาผู้บริโภค ว่าทุเรียนไทยมีคุณภาพสูงกว่าทุเรียนจากประเทศอื่นๆ คือ มีความแตกต่างในความรู้สึกของผู้บริโภค
เปรียบเทียบหยาบๆ เหมือนความรู้สึกของผู้บริโภคในตลาดรถยนต์เมื่อราวๆ 20 ปีที่แล้ว ว่า “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” มันแตกต่างกัน
จะต้องทำให้ความรู้สึกของผู้บริโภคมีการแบ่งแยกอย่างนั้น ระหว่างทุเรียนไทย กับทุเรียนต่างชาติ
ให้เกิดความรู้สึกว่า ทุเรียนไทย มันมีคุณภาพ มีเกรดดีกว่าทุเรียนต่างชาติ
ถ้าทำได้แบบนี้ อนาคตของทุเรียน จะยังเป็นขุมทรัพย์ของเกษตรกรไทยต่อไปในอนาคต
แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เห็นว่าจะเหนื่อยหนัก
ล่าสุด รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ สถาบันทุเรียนไทยเปิดเผย บทวิเคราะห์ อนาคตทุเรียนไทย : โอกาสหรือความเสี่ยง
โดยเทียบสถานการณ์ 10 ปี (ปี 2554-2563) ที่ผ่านมา และ แนวโน้ม 5 ปี ข้างหน้า (ปี 2564-2568)
ข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ
1.10 ปี ที่ผ่านมา มีการส่งออกทุเรียนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 48.3%
จาก 521,028 ตัน ในปี 2554 เป็น 772,860 ตัน ในปี 2563
และใน 5 ปี ข้างหน้า จะมีการส่งออกทุเรียนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 134.5% เป็น 1,812,201 ตัน
ประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกทุเรียนอันดับ 1 มาโดยตลอด
2.ในปี 2568 คาดว่า ไทยจะส่งออกทุเรียน 1,044,672 ตัน (ส่วนแบ่งตลาด 57.65%)
ตามด้วยเวียดนาม 165,465 ตัน (9.13%) และมาเลเซีย 76,379 ตัน (4.21%)
3.ในด้านผู้นำเข้า ในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะยังคงเป็นผู้นำเข้าทุเรียนรายใหญ่ของโลก
โดยจีนนำเข้าเพิ่มขึ้น 95.1% จากปี 2563 เป็น 938,882 ตัน
รองมาเป็นฮ่องกง จะนำเข้าเพิ่มขึ้น 61.4% เป็น 374,245 ตัน
และมีประเทศผู้นำเข้ารายใหม่ที่น่าจับตามอง คือ เกาหลีใต้ และไต้หวัน แม้ว่าปริมาณนำเข้าจะยังไม่มากนัก แต่การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 53.3% และ 35.7% ตามลำดับ
4.ในส่วนของการผลิตทุเรียนในอาเซียนช่วง 10 ปี (2554-2563) ที่ผ่านมา
อินโดนีเซียครองแชมป์การผลิตทุเรียนมากที่สุดของโลก ตามด้วยไทย มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
แต่ทุเรียนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ส่งออกน้อย เพราะมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและมาตรฐานการส่งออก
คาดว่าใน 5 ปีข้างหน้า ไทยจะแซงหน้าอินโดนีเซีย ตามมาด้วย มาเลเซีย และเวียดนาม
โดยในปี 2568 ผลผลิตทุเรียนไทยจะมากเป็นอันดับ 1 (39.2% ของผลผลิตทุเรียนทั้งหมดของอาเซียน) อินโดนีเซียเป็นอันดับ 2 (30.6%) ของอาเซียน
5.ผลผลิตทุเรียนไทย 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่ม 83% (2,028,490 ตัน ในปี 2568)
บริโภคในประเทศเพิ่ม 101.7% (983,817 ตัน ในปี 2568)
การส่งออกเพิ่มขึ้น 68.3% (1,044,672 ตันในปี 2568)
ปี 2563 มีสัดส่วนการบริโภคในประเทศ 44% ส่งออก 56%
แต่พอถึงปี 2568 จะมีสัดส่วนการบริโภคในประเทศ 48.5% ส่งออก 51.5%
6.สำหรับพื้นที่ปลูกทุเรียนในไทย ช่วง 10 ปี (ปี 2554-2563) ที่ผ่านมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่เพาะปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกภาคในประเทศไทย
โดยในปี 2563 เนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2554 เนื่องจากปลูกทุเรียนแทนพืชอื่น เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และในปี 2560-2563 ผลผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 140,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นกว่า
20 เท่าจากปี 2554-2559
7.ราคา สำหรับราคาทุเรียนหมอนทองที่เกษตรกรขายได้ที่สวน ปี 2559-2563 ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 11.0 บาท/กก. เพิ่มจากในปี 2554-2558 ที่มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.6 บาท/กก.
พูดง่ายๆ ว่า ราคาเพิ่มขึ้นเร็วในระยะหลัง
อนาคตราคาทุเรียน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) คาดว่าราคาทุเรียนหมอนทองที่เกษตรกรขายได้ที่สวน (เฉลี่ยทั้งประเทศ) ในปี 2568 ประมาณ 144 บาท/กก.
ราคาทุเรียนหมอนทองที่เกษตรกรขายได้ที่สวน เฉลี่ยในปี 2564-2568 ประมาณ 126 บาท/กก.
โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ขึ้นอยู่กับว่า
1)หากจีนนำเข้าทุเรียนไทยน้อยกว่า 10% ราคาขายส่งทุเรียนหมอนทองไทย ณ ตลาดเจียงหนาน ปี 2568 ประมาณ 177 บาท/กก. ซึ่งเฉลี่ยราคาในปี 2564-2568 ประมาณ 174 บาท/กก.
2)หากจีนนำเข้าทุเรียนไทยเพิ่ม 10-15% ราคาขายส่งทุเรียนหมอนทองไทย ณ ตลาดเจียงหนาน ปี 2568 ประมาณ 279 บาท/กก. เฉลี่ยราคาในปี 2564-2568 ประมาณ 243 บาท/กก.
และ 3)หากจีนนำเข้าทุเรียนไทยเพิ่มมากกว่า 15% ราคาขายส่งทุเรียนหมอนทองไทย ณ ตลาดเจียงหนาน ปี 2568 ประมาณ 379 บาท/กก. เฉลี่ยราคาในปี 2564-2568 ประมาณ 290 บาท/กก.
8.โอกาสของทุเรียนไทย
รศ.ดร.อัทธ์ ได้ชี้ให้เห็นภาพน่าสนใจว่า ทุเรียนของไทยเรามี 5 โอกาสสำคัญ ได้แก่
1.มีโอกาสในมณฑลชั้นในของจีน
2.มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
3.โอกาสทุเรียนเฉพาะถิ่น และทุเรียนอัตลักษณ์ท้องถิ่น จะได้รับความนิยมมากขึ้น
4.มีโอกาสพัฒนาคุณภาพ ตาม GMP และ GAP
และ 5.โอกาสในตลาดใหม่ เกาหลี ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และอินเดีย
9.ความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ทุเรียนไทยมี 9 ความเสี่ยง คือ 1.จีนอนุญาตให้นำเข้าจากประเทศอื่น 2.ไทยขาดระบบตรวจสอบย้อนกลับ 3.ทุเรียนอ่อน และเครื่องมือในการตรวจ 4.จีนตรวจเข้มมากขึ้น 5.จีนมีการปลูกทุเรียน และพัฒนาสายพันธุ์ 6.ประเทศไทยเน้นส่งออกทุเรียนสด 7.ขาดแพ็กเกจจิ้งในการยืดอายุทุเรียนสด 8.สวมสิทธิ์ทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน 9.ตลาดถูกควบคุมโดยล้ง
สรุป จากการศึกษาวิจัยข้างต้น ทำให้เห็นว่า ทุเรียนไทยเป็นสินค้าเกษตรที่มีโอกาสอันงดงามรออยู่ แต่จะต้องมีการบริหารจัดการและพัฒนาระบบการผลิตและจำหน่ายที่ดี จึงจะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้
แต่ถ้ายังปล่อยให้มีทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด ยังไม่มีการพัฒนาด้านการตลาดอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง จริงจัง สร้างแบรนด์ที่มีมูลค่า เป็นที่จดจำ ก็อาจจะสูญเสียโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี