11 เมษายน 2564 เวลา 10 นาฬิกา 6 นาที “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” ผู้สร้างตำนาน “โกหกสีขาว” (White Lie) ในอดีต โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และไผ่ฯ เกิดในประเทศเสรี... พวกเขาจะมีความสุขความสำเร็จในชีวิต... ผมละอาย ผมเสียใจ ผมคับแค้น (สลิ่ม และไอโอ อย่าเสือก)”
อืมมมม... ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ไว้ 500 เส้น แล้วก็อดเสือกไม่ได้จริงๆ เพราะนี่คือ “โกหกสีขาว” อีกคราครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาใช่หรือไม่?
1) หลังจากเสือกเข้าไปอ่านแล้ว ก็มาเสือกนั่งคิดต่ออีกว่า เด็กๆ ที่ถูกกล่าวถึง ถ้าได้อ่านข้อความนี้ จะยิ่งเตลิดหลงไปเพียงใด มีประเทศเสรีใดในโลกนี้หรือ ที่อนุญาตให้พลเมือง “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย”ประมุขแห่งรัฐได้ อยากให้กิตติรัตน์ยกตัวอย่างให้ดูหน่อย
2) การมีความสุขและความสำเร็จ คือการดำเนินชีวิตแบบท้าทายกฎหมาย ใช้สิทธิเกินส่วน จนไป “ล่วงละเมิด” ประมุขแห่งรัฐ โดยอ้างว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พอกฎหมายดำเนินการ ก็โทษว่ากฎหมายผิด มีสมัครพรรคพวกระดมคนมาแสดงออก มาเรียกร้อง มายืนถือป้าย ว่าจะช่วยยกเลิกกฎหมายนั้นให้ พอเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็โทษว่ากระบวนการยุติธรรม อยุติธรรม อย่างนั้นหรือ?
3) พวกเขา (บางคน) จะมีความสุขความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร กระทั่ง “มารยาทสามัญ” ในห้องพิจารณาคดีของศาล เขายังเลือกที่จะที่ยืนขึ้นแถลงกลางห้องพิจารณาคดี แต่ผู้พิพากษาเล็งเห็นแล้วว่าจะเกิดความวุ่นวายจึงลงจากบัลลังก์ แต่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) ยังยืนกรานจะทำพฤติกรรมต่อเนื่อง แม้ตำรวจศาลเข้ามาห้าม จนถูกศาลสั่งกักขัง 15 วัน (ลดวันให้แล้ว)
4) พวกเขา (บางคน) จะมีความสุขความสำเร็จในประเทศเสรีใดหรือครับ ที่อนุญาตให้ไปนั่งอดอาหาร เป็นภาระการดูแลของราชทัณฑ์ โดยที่ราชทัณฑ์คอยเติมน้ำเกลือให้ วัดความดันวัดชีพจร อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับน้ำตาล ฯลฯ
5) พวกเขาจะมีความสุขความสำเร็จในประเทศเสรีใด ที่ใช้วิธีออกข่าวว่าจะขอประกันตัว จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุม จะไม่ล่วงเกินองค์พระประมุขจนถูกตั้งข้อหาอีก แต่ถึงเวลา กลับ “...แม้จะให้ถ้อยคำในชั้นไต่สวนขอปล่อยชั่วคราว... แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลัง ว่า เมื่อศาลนัดสอบคำให้การตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยาน จำเลยที่ 4 (สมยศ พฤกษาเกษมสุข)และที่ 7 (ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) และทนายจำเลยที่ 4 และที่ 7 ไม่ยอมลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งทนายจำเลยที่ 4 และที่ 7 นำรายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนข้อความเพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ระบุว่า “ทนายความจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 22 ไม่ขอลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา เนื่องจากไม่ยอมรับกระบวนพิจารณา” กับมีพฤติการณ์จะไม่ยอมไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความ และยื่นคำร้องขอถอนทนายความ ทำให้การกำหนดวันนัดสืบพยานเป็นด้วยความยากลำบาก ซึ่งเป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดีในศาล...”
6) ถ้ากิตติรัตน์จะ “ละอาย” จงรู้สึกละอายที่เคย “กล่าวเท็จ” เรื่องตัวเลขส่งออก แล้วบอกว่าเป็นไวท์ลายโกหกสีขาว จะดีกว่านะครับ จนนายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา ในขณะนั้น กล่าวว่า ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกฯ และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล “ออกมารับผิดชอบ” เพราะยอมรับว่าได้โกหกเกี่ยวกับตัวเลข ซึ่งเป็นเป้าหมายการส่งออกของประเทศ ที่จะขยายตัวถึงร้อยละ 15 ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ในภาคการลงทุน ในที่ประชุม สว. มีการพิจารณาไปไกลถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ข้อ 6 (2) และ (7), ข้อ 10 และ ข้อ 25ที่มีผลให้ นายกิตติรัตน์ ต้องลาออก หรือต้องขอโทษประชาชน, นักธุรกิจชาวไทย และต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีประเด็น ผิดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 244 (2) ที่ว่าด้วยการดำเนินตามจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรา 279 วรรคสาม เพราะการไม่ปฏิบัติตามจริยธรรม ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัยด้วย
แม้ภายหลัง ผู้ตรวจการแผ่นดินจะวินิจฉัยว่า ไม่เข้าข่ายขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามปกติที่รัฐบาลทำ อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำสำเนาคำวินิจฉัยส่งให้ผู้ร้องและนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชารับทราบแล้วพร้อมกับแสดงความเห็นว่า แม้คำกล่าวของนายกิตติรัตน์จะไม่กระทบภาคเอกชน แต่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวนายกิตติรัตน์เอง กระทบต่อคณะรัฐมนตรีและต่อประเทศด้วย จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กำชับให้รัฐมนตรีตระหนักถึงการให้ข้อมูลต่อสาธารณชน ที่อาจเป็นอันส่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศด้วย
หรือจะละอายที่ไม่ได้บอกความจริงกับผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อทั้งสามก็ได้ ว่าสิ่งที่น้องทำ พี่ยังไม่ทำเลย เพราะมันผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันละเมิดอำนาจศาล และเพราะมันเป็นภาระของราชทัณฑ์เขา ถ้าอดอาหารแล้วได้รับการปล่อยตัว คงจะอดกันทั้งเรือนจำแน่ น้องเอ๊ย กินข้าวกินปลา หาทนายเก่งๆ มาเดินหน้าสู้คดีจะดีกว่า
7) ถ้าเด็กๆ เหล่านี้จะเสียใจและคับแค้น ก็ควรจะเสียใจและคับแค้นที่มีแต่ผู้ใหญ่ “ดันหลัง” ให้ “ออกหน้า” แต่พวกเขาไม่มาร่วมด้วย ไม่มาทำด้วย ในสิ่งที่เขาบอกว่าเป็นเสรีภาพ เป็นความกล้าหาญ
8) ก็เหมือนกันที่ ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊คชื่อ Charnvit Kasetsiri พร้อมข้อความระบุว่า...อดอาหารประท้วง = อารยะขัดขืน = สัตยาเคราะห์แบบมหาตมะ คานธี Gandhi’s Satyagraha ทั้งนี้เพื่อประชาธิปไตย เอกราช เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ของชาติและราษฎรไทย ยึดมั่นแนวทางแห่งสันติประชาธรรม...สัตยาเคราะห์ คือวิธีการต่อสู้แบบอหิงสา ของท่านมหาตมะคานธี ที่ท่านถือปฏิบัติเพื่อชาติและประชาราษฎรอินเดียในการต่อสู้จนประสบชัยชนะระหว่างปี 2412-2491 แนวความคิดและวิธีการนี้ มีอิทธิพลต่อ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, เนลสัน แมนเดลา และป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทั้งยังส่งผลมาถึงคนไทย เช่น ฉลาด วรฉัตร - มหาจำลอง (พฤษภา 2535)
เป็นที่น่ายินดีที่ส่งอิทธิพลมายัง Gen Z ในรุ่นของเพนกวิน ณ ทุกวันนี้
9) โดยวัยและความรู้ระดับ ศ.พิเศษ ดร.ไม่ช่วยให้ชาญวิทย์แยกแยะได้จริงๆ หรือว่า การชุมนุมโดยการนำของเพนกวิน ไม่ใช่อหิงสา แต่กลับเต็มไปด้วยความรุนแรงของถ้อยคำ ล้อเลียน หยามหมิ่นศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของสมาชิกในราชวงศ์ โปรยอาหารหมาให้ตำรวจ หยาบคาย ทั้งภาษาพูดและภาษากายสารพัด ลำพังอดข้าวแล้วเป็นการบำเพ็ญสัตยาเคราะห์ ไม่เป็นการเห็นที่ “ตื้นเขิน” ไปหน่อยหรือ
10) ก็เหมือนกับที่เพจ “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” โพสต์ข้อความเมื่อ 8 เมษายน 2564 เวลา 12.08 น. นั่นแหละ คือการหมิ่นและปรักปรำศาลอย่างจะแจ้งว่า “...เพนกวิน-พริษฐ์ อดอาหารมาเป็นวันที่ 24แล้ว เพื่อนของเรายอมอดอาหารเพียงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากศาลอันสูงส่ง แต่ไฉนเลยศาลกลับเมินเฉยต่อความเป็นความตายของเพื่อนเรา
...เพื่อนเอ๋ย แม้แต่เศษเสี้ยวความเห็นอกเห็นใจในฐานะมนุษย์ด้วยกันของศาลที่เคารพกลับไม่มีไม่เห็นเลย เรารู้ว่าเพื่อนคือนักสู้ตัวจริงแม้ในภาวะที่เพื่อนถูกปิดปากและล่ามโซ่เอาไว้ แต่เพื่อนก็ยอมเสี่ยงชีวิตแลกกับการไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น หากศาลท่านยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่บ้าง ท่านก็คงจะเห็นถึงความยุติธรรมอันความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นและท่านก็คงเห็นถึงการต่อสู้ของเพื่อนเพื่อต่อต้านความบิดเบี้ยวนั้น และเราก็หวังว่าศาลจะได้อ่านคำถามถึงความยุติธรรมจากเพื่อนของเราเมื่อวันก่อน
...3 คำถามที่เพื่อนเราทวงถาม ศาลอันสูงส่งต้องตอบแก่เพื่อนของเราและประชาชน เพื่อคงความยุติธรรมอย่างที่ศาลควรจะทำและรักษาคำพูดที่ศาลเคยกล่าวไว้กับเพื่อนของเรา
...ขอศาลจงตัดสินโดยยึดสถาบันประชาชนเป็นหลัก เพราะอำนาจของท่าน ก็มาจากอำนาจของมหาประชาชน เงินเดือนที่ท่านได้รับก็มาจากภาษีของประชาชน ขออย่าหลงลืมว่าท่านต้องทำหน้าที่เพื่อรับใช้ใครและ สิ่งสุดท้ายคือขอท่านอย่าหลงลืมความเป็นคน”
11) แต่เพจดังกล่าวกลับเพิกเฉยจ่อกรณีที่ศาลปล่อยตัว “หมอลำแบงค์” ซึ่งตามข่าวระบุว่า “...ศาลอาญาได้ไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวแล้ว มีคำสั่งว่า พิเคราะห์จากคำแถลงและการไต่สวนตามคำร้องของนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม จำเลยที่ 3 ประกอบกับคำรับรองของผู้ที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 แล้ว น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 จะไม่ไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นได้อีก จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 200,000 บาท โดยศาลมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยที่ 3 กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่จำเลยที่ 3 ถูกกล่าวหาตามฟ้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ห้ามจำเลยที่ 3 เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากศาล และให้จำเลยที่ 3 มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด ก่อนปล่อยตัวจำเลยที่ 3 แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ...” เช่นนี้ ยังจะด่าศาลว่า “หลงลืมความเป็นคน” กันอีกไหม
การกระทำทุกอย่าง ที่มีเหตุนำไปสู่การถูกควบคุมตัวล้วนเกิดจาก “กรรม” ที่มี “เจตนา” ชัดเจนอย่างมาก และกระทำกรรมนั้นซ้ำๆ หลังจากเคยได้รับการปล่อยตัวมาก่อน แต่ผู้กระทำก็หาได้สำนึกสำเหนียกไม่
พวกหนึ่ง “หลอกตัวเอง” อีกพวกหนึ่ง “หลอกใช้”
ในสภาพกรรมแบบนี้ นึกไม่ออกว่าจะสังเวชใจกับกลุ่มไหนก่อนดี
เพราะทั้งหมดล้วนดำเนินชีวิตแบบ White Lie ชน…ด้วยกันทั้งสิ้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี