ดูเหมือนวลีที่ว่า “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเคยใช้เป็นจุดขายในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนั้น กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า“ไม่จริง” และจริงดังที่ใครบางคนเคยชี้ไว้ล่วงหน้าว่า“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างหาก ที่จะเป็นเชื้อของความไม่สงบ
1) ที่ผ่านมา “ม็อบไล่ลุง” ไล่ต้อน พล.อ.ประยุทธ์ ให้จนมุมการ “ยื้อเวลา” เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ลุงอุตส่าห์แถลงต่อสภาว่า เป็น “นโยบายเร่งด่วน” แต่โคตรอ้อยสร้อย ที่แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้ออกหน้าเร่งรัดและทวงถามในความเร่งด่วนที่ไม่เคยเร่งด่วนนั้น ทั้งๆ ที่เป็นเงื่อนไขของการ “เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล” ด้วย
ในเวลานั้นมีการ “แก้เก้อ” ด้วยการตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีบุคคลที่น่าเชื่อถือและเอาจริงเอาจังเป็นอย่างยิ่งอย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน ซึ่งได้ผลการศึกษาที่ชี้ชัดเรื่อง “ต้องแก้” และมีประเด็นที่ชัดเจนด้วยว่า อะไรบ้างที่ “สมควรแก้”
2) ครั้นเวลาต่อมา ม็อบเกิดทะลึ่งเลยเถิดไปโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ลุงตู่เลยตัวเบาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ กุมารทองอย่าง “ไพบูลย์ นิติตะวัน” และ “รัก-ยม” ในวุฒิสภา ก็ช่วยกันแผลงฤทธิ์ ยื้อเวลามาได้เรื่อยๆ จนกระทั่ง “คว่ำ” ญัตติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นลงได้ สถานการณ์ได้ผลักให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องหวนกลับมานับหนึ่งใหม่ และดูเหมือนต้องไปในแนว“แก้ไขเป็นรายมาตรา” โดยที่ลุงตู่ รัฐบาล และพรรคร่วม ไม่เคยนำพา “ผลการศึกษา” ชุดของนายพีระพันธุ์ ที่ท่านมีส่วนผลักดันให้เกิดการตั้งขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว
3) พ้นจากสภาวะดังกล่าว “ลุงตู่” ก็เจอแค่ปัญหาโรคระบาด โควิด-19 รุมเร้า โจมตี โดยมีพวก “คลั่งการเมือง” แยกไม่ออกระหว่าง “บ้านเมือง” กับ “การเมือง” เอาเรื่องวัคซีนโควิดที่ล่าช้าและมีไม่กี่ยี่ห้อ มาหลอกล่อประชาชนให้หวาดระแวง และไม่ให้ความร่วมมือกับแผนการฉีดวัคซีนเท่าที่ควร บวกกับความลังเลก่อนสงกรานต์ ที่รัฐบาลกับ ศบค. ไม่กล้า “เบรก” การเดินทางข้ามจังหวัด ทั้งๆ ที่การระบาดจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ส่งคนเป็นพาหะกระจายไปหลายพื้นที่แล้ว
4) เวลานี้ ลุงตู่เจอเรื่องทางการเมืองเรื่องใหม่ที่ทำเอาท่าน “จุก” พูดอะไรไม่ได้ บอกอะไรไม่ถูกอยู่นั่นคือ เรื่อง “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรีและ สส. เพราะคดีค้ายาเสพติดและต้องโทษจำคุกเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร นอกเขตอธิปไตยของไทยคำถามใหญ่ที่วกกลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ“ผู้นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ” ให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเอาอย่างไรในทาง “จริยธรรมและธรรมาภิบาล”
5) แนวหน้าออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.00 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งวันเดียวกันนี้ ได้ใช้เวลาประชุมเพียง 3 ชั่วโมง โดย พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงสงวนท่าที และระมัดระวังในการแถลงข่าวและชี้แจง โดยยังคงอ่านตามสคริปต์ที่เตรียมมา และเพิ่มเติมข้อความบ้างเป็นบางส่วน โดยไม่ตอบประเด็นข้อซักถามจากสื่อมวลชนในเรื่องทางการเมือง โดยเฉพาะคำถาม ในเรื่องของจริยธรรมทางการเมือง ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
รมช.เกษตรฯ ซึ่งมีบางฝ่ายระบุว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ยังนิ่งเฉย จะทำให้เป็นภาพลบของรัฐบาล ซึ่งการปรับเปลี่ยนท่าทีของนายกรัฐมนตรี มีมา 2 สัปดาห์แล้ว สาเหตุเพราะเกรงว่า หากเป็นการตอบคำถามสดของสื่อมวลชนแล้วจะหลุดคำพูดที่อาจกลายเป็นเป้าถูกโจมตีได้ อีกทั้งต้องการมุ่งเน้นและชี้แจงเฉพาะการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เท่านั้น โดยได้มอบหมายประเด็นคำถามต่างๆ ที่สื่อมวลชนสอบถามให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบคำถาม แทน
“ขอกราบเรียนอีกครั้งว่า ขณะนี้เราคนไทยทั้งประเทศ และทั่วโลก กำลังเผชิญกับสถานการณ์เผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่ชื่อว่าไวรัสโควิด-19 และทางเดียวที่เราจะเอาชนะศัตรูตัวนี้ได้ก็คือการร่วมแรง ร่วมใจร่วมมือกันแก้ปัญหา ไม่ใช่การขัดแย้งหรือแตกแยกกัน อนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้จะขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงเพียงใด ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน วันนี้ไม่ใช่เวลาทำการเมืองทั้งสิ้นเป็นเวลาที่ทำให้บ้านเมืองให้ประเทศชาติของทุกคนและประชาชนที่เป็นที่รัก ที่เลือกพวกท่านเข้ามาทำงาน ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในเวลานี้ จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา อะไรที่ยังมีปัญหาขัดข้อง ไม่เข้าใจก็ขอให้สอบถามเข้ามายินดีที่จะให้หน่วยงานตอบ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
6) “ลุงตู่” ควรรู้ว่า เรื่องบางเรื่อง เป็นเรื่องที่ “เกินปาก” ของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะเขาไม่มีทั้งข้อมูลว่า “ผู้มีอำนาจ” คิดอย่างไรอยู่ และโฆษกเองก็ไม่มีอำนาจที่จะ “แสดงดุลยพินิจ” แทนผู้มีอำนาจตัวจริงด้วย พล.อ.ประยุทธ์เคยเน้นเหลือเกินเรื่องจริยธรรมของนักการเมือง เรื่องธรรมาภิบาลของรัฐบาล ในสมัยที่ท่านเป็นหัวหน้า คสช. และเป็นนายกฯ เคยให้ประชาชนไปตอบคำถามที่ศูนย์ดำรงธรรมในเรื่องทำนองนี้บ่อยครั้ง มาถึงยุคนี้ เหมือนมาตรฐานทางจริยธรรมของท่าน “หย่อนคล้อย” ลงมาก
7) ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์เฟซบุ๊ค เสนอแนะในเรื่องนี้ว่า...“ถ้า ร.อ.ธรรมนัส ลาออก จะดีกับทุกฝ่าย คือ
1. ดีกับตัวเองไม่ต้องถูกด่าถูกว่า ถูกเสียดสีเดือดร้อนไปถึงครอบครัวและเครือญาติ
2. ดีกับรัฐบาลไม่ต้องถูกกดดัน ถูกดูถูกดูแคลนที่ส่งผลให้เครดิตของผู้นำประเทศลดต่ำอย่างมาก
3. ดีกับศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการ เพราะจะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ลดความร้อนแรงของการแสดงความไม่เห็นด้วยและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันศาล
4. ช่วยประเทศชาติที่มีปัญหาหนักหน่วงอย่างมากในขณะนี้
ทั้งโรคระบาดอุบัติใหม่ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
ทั้งปัญหาการปกครองประเทศในแบบแผนเก่า
อยู่ไปก็หมดความน่าเชื่อถือและทำให้รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือ
ประเทศชาติถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ
8) พรรคก้าวไกลได้โพสต์ภาพคู่ของ “ลุงตู่”กับ ร.อ.อ.ธรรมนัส พร้อมข้อความว่า “โจรอุ้มโจร” จนมีการส่งคนไปแจ้งความเอาผิด ทั้งในส่วนของนายกฯ และตัวแทนของ ร.อ.ธรรมนัส ด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วในการจะต้องดำเนินคดี ทว่า นายธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หากดูตามข้อเท็จจริงแล้วผู้ถูกกล่าวหาในภาพมีสิทธิ์ฟ้องได้ แต่ก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ถึงต้นเหตุที่นำมาซึ่งภาพดังกล่าว รวมถึงภาพรวมว่ามันถูกต้องตามหลักจริยธรรม และมันคัดค้านต่อความรู้สึกของประชาชนคนไทย หรือไม่ด้วย
“ถ้าไม่ยอมรับความจริงและแก้ให้ถูกจุด อีกหน่อยคงได้ไล่ฟ้องคนทั้งประเทศ เพราะไม่ว่า จะฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา เชียร์พรรคไหนขั้วไหน ก็คิดเหมือนกันหมดในเรื่องนี้ ยิ่งฝืน ยิ่งดิ้น ยิ่งดูเสื่อม กลายเป็นสร้างความชอบธรรม สร้างแต้ม ให้คนอื่นเขาเปล่าๆ ดังนั้น หากรักประเทศชาติจริงอย่างปากว่าก็ควรคิดเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อส่วนรวม และปรับครม.” โฆษกพรรคกล้า กล่าว
นายธันวา กล่าวย้ำว่า การที่ตนเองออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ แม้จะเป็นเรื่องของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคกล้าโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ดังนั้นในฐานะพรรคการเมืองที่อยากให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่แตกแยก และมีมาตรฐานทางจริยธรรม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแสดงความคิดเห็น
9) นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...กรณีรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุถึงการร้องสอบจริยธรรมร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องเป็นการกระทำผิดระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็น สส.หรือรัฐมนตรี เรื่องนี้ควรให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ตัดสินว่าจะรับเรื่องไว้หรือไม่แต่หากจะให้ดี นายกรัฐมนตรีควรตัดสินใจปรับร้อยเอกธรรมนัสด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครยื่น ป.ป.ช. เพื่อรักษาภาพลักษณ์และมาตรฐานทางจริยธรรม ไม่เช่นนั้นเผือกร้อนอาจย้อนกลับมาที่นายกรัฐมนตรี เสี่ยงถูกยื่นสอบจริยธรรมเสียเอง ในฐานะที่ใช้อำนาจหน้าที่ แต่งตั้งบุคคลที่เคยต้องคดียาเสพติดในต่างประเทศมาเป็นรัฐมนตรี
...ถ้ายังมีความเกรงใจจริยธรรมอยู่ ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เลือกว่าจะปลดออก หรือจะปล่อยให้คนที่มีคดียาเสพติดต่างประเทศมานั่งเป็นรัฐมนตรีอยู่แบบนี้ ซึ่งคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะท่านนายกฯ อาจถูกสอบจริยธรรมเสียเอง ในฐานะใช้อำนาจแต่งตั้งเข้ามา และจะทำให้บรรทัดฐานสังคมผิดเพี้ยนไป
...ตอนนี้รัฐบาลต้องรับแรงกดดันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล แต่เชื่อว่ากระแสความกดดันจะลดน้อยถอยลงไป หากนายกรัฐมนตรีรับฟังและตัดสินใจตามกระแสสังคมต้องการ ปรับตัวบุคคลที่ไม่เหมาะสมออกจากรัฐมนตรี ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล และการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ปัจจุบัน #มันคือแป้ง #พรรคกล้า”
สรุป : เรื่องนี้จึงอยู่ที่การตัดสินใจของ ร.อ.ธรรมนัส ก่อน ซึ่งหากไม่มีการตัดสินใจใดๆ แรงกดดันจะเคลื่อนไปสู่ พล.อ.ประยุทธ์แทน
แต่โชคดีว่า เวลานี้ ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19หนักหน่วงเสียจนประชาชนหวาดผวา ยังไม่มีเวลามาเรียกหา “มาตรฐานทางจริยธรรม” กับ พล.อ.ประยุทธ์กันอย่างจริงจังนัก
หรือไม่ก็อาจจะ “ชาเฉย” ไปเสียแล้ว เมื่อมองดู “คนรอบตัว” ของ “ลุงตู่”
เลือกความสงบ ต้องจบที่ “คนเหล่านี้” ใช่ไหมครับ...ลุงครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี