วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ความจริงปรากฏเป็นที่ประจักษ์
ยุคนี้ ยุครัฐบาลลุงตู่ มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งถนน หนทาง สนามบิน ท่าเรือ มอเตอร์เวย์ ระบบราง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงรถไฟฟ้าในเมืองหลวง ฯลฯ มากมายเป็นประวัติการณ์
มีการก่อสร้างจริง เสร็จจริง ได้ใช้งานจริง
บางโครงการ เกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนๆ แต่ได้สานต่อ เร่งรัดและขยายผลให้ใหญ่โตครอบคลุมยิ่งขึ้นในยุครัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เช่น สถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น
หลายโครงการ เคยได้ยินนักการเมืองโม้มานานปี แต่ไม่เคยคืบหน้า มายุคนี้ สร้างแป๊บๆ จวนเปิดใช้งานแล้ว
หลายโครงการริเริ่ม ผลักดัน ดำเนินการ จนสำเร็จในยุค คสช.ต่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เกิดโรคระบาดโควิด-19 ต้องใช้เงินมากมาย ทั้งเยียวยาช่วยเหลือ ทั้งรักษา ทั้งควบคุมโรค ทั้งจัดหาวัคซีน ฯลฯ จึงต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเฉพาะหน้า ในขณะที่โครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่ดำเนินการอยู่เดิมก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งโครงการทั้งหลายจะทยอยเสร็จตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
คอยดูเถิด รถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ถนนหนทางสายใหม่ๆ อาคารผู้โดยสารใหม่ๆ ในสนามบิน ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ฯลฯ จะทยอยเปิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ลองนึกดูเถิด ถ้าควบคุมโรคได้ ฉีดวัคซีนครบ นักท่องเที่ยวกลับมา เศรษฐกิจไทยพร้อมเดินหน้าทันที
ลองคิดง่ายๆ เหมือนครอบครัวเรา ทำกิจการร้านค้า แต่วันดีคืนดีมีคนในบ้านล้มป่วย ต้องใช้เงินในการรักษาดูแล แต่เราไม่ยอมขายทรัพย์สินหรือเลิกกิจการร้านค้าของเรา เพราะเราหวังจะกลับมาหารายได้ต่อในอนาคต มันก็ต้องกู้เงินมารักษาดูแลกัน หวังว่าเมื่อหายป่วย เราก็กลับมาค้าขายได้ต่อเนื่อง มีรายได้ มีชีวิตก้าวต่อไป
รัฐบาลก็กำลังทำแบบนั้น ยังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันต่อไป ควบคุมไปกับการกู้เงินมาสู้โควิด จึงไม่แปลกใจตัวเลขหนี้สาธารณะจะเพิ่มสูงขึ้น นั่นเพราะเราก็มีทรัพย์สิน มีการลงทุนมากขึ้นด้วย
แต่ที่สำคัญ ในยุคนี้ นอกจากกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แล้วรัฐบาลลุงตู่ยังใช้วิธีสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเอาเงินมาร่วมลงทุนมากเป็นประวัติการณ์ด้วย
.png)
เราจึงเห็นโครงการต่างๆ เกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ในงบประมาณแผ่นดินประจำปี’65 ล่าสุด มีภาระค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นลักษณะรายจ่ายประจำ วงเงินสูงถึง 2,475,600 ล้านบาท อาทิ ภาระค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ตามกฎหมาย ตามข้อผูกพัน ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการทางสังคมและกลุ่มเปราะบางต่างๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐรายจ่ายตามแผนบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รวมทั้งนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นรายจ่ายประจำที่จำเป็นต้องจัดสรร
ในงบฯปี’65 มีรายจ่ายลงทุน 624,399 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 20.14 ของวงเงินงบประมาณ)
รายจ่ายลงทุนจำนวนนี้ ยังน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลงบประมาณที่กำหนดไว้จำนวน 700,000 ล้านบาท
น้อยกว่าเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
มาตรา 20 (1) กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงินขาดดุลของงบประมาณกำหนดไว้ จำนวน 700,000 ล้านบาท
ตามกฎหมายให้ทางออกไว้อย่างไร?
กฎหมายแง้มช่องให้ทำได้ แต่จะต้องหาทางแก้ไข
เพราะตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 20 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่การตั้งงบประมาณรายจ่ายไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งได้ ให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและมาตรการในการแก้ไขต่อรัฐสภาพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย
รัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร?
ล่าสุด มีข้อสรุป ดังนี้
1. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คาดว่าจะมีโครงการตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563-2570 จำนวน 10 โครงการ โดยประมาณการมูลค่ารวม 260,024 ล้านบาท และประมาณการวงเงินลงทุนที่คาดว่าจะลงทุนในปี 2565 รวม 52,320 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
2. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประมาณการแผนการใช้จ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย สำหรับการลงทุนโครงการทางพิเศษพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอนบน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออก รวมจำนวนทั้งสิ้น 9,983 ล้านบาท
3. การใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา 22 กำหนดว่า การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมาตรา 23 กำหนดว่า ในการกู้เงินตามมาตรา 22 ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้
สำนักงบประมาณได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนรายการรายจ่ายลงทุนของหน่วยรับงบประมาณที่เสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แต่ไม่สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณตามเหตุผลความจำเป็นข้างต้น โดยพิจารณารายการลงทุนที่มีลักษณะการลงทุนเพื่อการวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิตและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมและสามารถใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสิ้น 8 กระทรวง 11 หน่วยรับงบประมาณ 109 รายการ วงเงินรวม 91,705 ล้านบาท
สารส้ม

ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense
(คลิป) สื่อเขมร รายงานจริงครั้งแรก! ไทย ใช้ F-16 ทิ้งบอมปอยเปตพังท่องเที่ยวกัมพูชา
ปราชญ์ สามสี สดุดี จ่าเริง วีรบุรุษเนิน 350 ผู้ปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิต
ทรัมป์ กร้าว ต้องการ กรีนแลนด์ เพื่อความมั่นคงของ สหรัฐฯ
เขมรกล่าวหาไทย ทิ้งระเบิด พ่นควันพิษ เป็น อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี