ความจริงปรากฏเป็นที่ประจักษ์
ยุคนี้ ยุครัฐบาลลุงตู่ มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งถนน หนทาง สนามบิน ท่าเรือ มอเตอร์เวย์ ระบบราง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงรถไฟฟ้าในเมืองหลวง ฯลฯ มากมายเป็นประวัติการณ์
มีการก่อสร้างจริง เสร็จจริง ได้ใช้งานจริง
บางโครงการ เกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนๆ แต่ได้สานต่อ เร่งรัดและขยายผลให้ใหญ่โตครอบคลุมยิ่งขึ้นในยุครัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เช่น สถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น
หลายโครงการ เคยได้ยินนักการเมืองโม้มานานปี แต่ไม่เคยคืบหน้า มายุคนี้ สร้างแป๊บๆ จวนเปิดใช้งานแล้ว
หลายโครงการริเริ่ม ผลักดัน ดำเนินการ จนสำเร็จในยุค คสช.ต่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เกิดโรคระบาดโควิด-19 ต้องใช้เงินมากมาย ทั้งเยียวยาช่วยเหลือ ทั้งรักษา ทั้งควบคุมโรค ทั้งจัดหาวัคซีน ฯลฯ จึงต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเฉพาะหน้า ในขณะที่โครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่ดำเนินการอยู่เดิมก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งโครงการทั้งหลายจะทยอยเสร็จตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
คอยดูเถิด รถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ถนนหนทางสายใหม่ๆ อาคารผู้โดยสารใหม่ๆ ในสนามบิน ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ฯลฯ จะทยอยเปิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ลองนึกดูเถิด ถ้าควบคุมโรคได้ ฉีดวัคซีนครบ นักท่องเที่ยวกลับมา เศรษฐกิจไทยพร้อมเดินหน้าทันที
ลองคิดง่ายๆ เหมือนครอบครัวเรา ทำกิจการร้านค้า แต่วันดีคืนดีมีคนในบ้านล้มป่วย ต้องใช้เงินในการรักษาดูแล แต่เราไม่ยอมขายทรัพย์สินหรือเลิกกิจการร้านค้าของเรา เพราะเราหวังจะกลับมาหารายได้ต่อในอนาคต มันก็ต้องกู้เงินมารักษาดูแลกัน หวังว่าเมื่อหายป่วย เราก็กลับมาค้าขายได้ต่อเนื่อง มีรายได้ มีชีวิตก้าวต่อไป
รัฐบาลก็กำลังทำแบบนั้น ยังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันต่อไป ควบคุมไปกับการกู้เงินมาสู้โควิด จึงไม่แปลกใจตัวเลขหนี้สาธารณะจะเพิ่มสูงขึ้น นั่นเพราะเราก็มีทรัพย์สิน มีการลงทุนมากขึ้นด้วย
แต่ที่สำคัญ ในยุคนี้ นอกจากกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แล้วรัฐบาลลุงตู่ยังใช้วิธีสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเอาเงินมาร่วมลงทุนมากเป็นประวัติการณ์ด้วย
เราจึงเห็นโครงการต่างๆ เกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ในงบประมาณแผ่นดินประจำปี’65 ล่าสุด มีภาระค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นลักษณะรายจ่ายประจำ วงเงินสูงถึง 2,475,600 ล้านบาท อาทิ ภาระค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ตามกฎหมาย ตามข้อผูกพัน ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการทางสังคมและกลุ่มเปราะบางต่างๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐรายจ่ายตามแผนบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รวมทั้งนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นรายจ่ายประจำที่จำเป็นต้องจัดสรร
ในงบฯปี’65 มีรายจ่ายลงทุน 624,399 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 20.14 ของวงเงินงบประมาณ)
รายจ่ายลงทุนจำนวนนี้ ยังน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลงบประมาณที่กำหนดไว้จำนวน 700,000 ล้านบาท
น้อยกว่าเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
มาตรา 20 (1) กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงินขาดดุลของงบประมาณกำหนดไว้ จำนวน 700,000 ล้านบาท
ตามกฎหมายให้ทางออกไว้อย่างไร?
กฎหมายแง้มช่องให้ทำได้ แต่จะต้องหาทางแก้ไข
เพราะตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 20 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่การตั้งงบประมาณรายจ่ายไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งได้ ให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและมาตรการในการแก้ไขต่อรัฐสภาพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย
รัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร?
ล่าสุด มีข้อสรุป ดังนี้
1. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คาดว่าจะมีโครงการตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563-2570 จำนวน 10 โครงการ โดยประมาณการมูลค่ารวม 260,024 ล้านบาท และประมาณการวงเงินลงทุนที่คาดว่าจะลงทุนในปี 2565 รวม 52,320 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
2. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประมาณการแผนการใช้จ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย สำหรับการลงทุนโครงการทางพิเศษพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอนบน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออก รวมจำนวนทั้งสิ้น 9,983 ล้านบาท
3. การใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา 22 กำหนดว่า การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมาตรา 23 กำหนดว่า ในการกู้เงินตามมาตรา 22 ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้
สำนักงบประมาณได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนรายการรายจ่ายลงทุนของหน่วยรับงบประมาณที่เสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แต่ไม่สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณตามเหตุผลความจำเป็นข้างต้น โดยพิจารณารายการลงทุนที่มีลักษณะการลงทุนเพื่อการวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิตและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมและสามารถใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสิ้น 8 กระทรวง 11 หน่วยรับงบประมาณ 109 รายการ วงเงินรวม 91,705 ล้านบาท
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี