“เบอร์ธิล ลินต์เนอร์” ผู้สื่อข่าวชาวสวีเดนผู้ที่คลุกคลีอยู่กับเหตุการณ์ในพม่ามานานสี่ทศวรรษ เขาสนิทสนมกับทั้งกลุ่มชาติพันธุ์หลายฝ่ายเพราะเส้นสายภายในจากดองที่เป็นชาวคะฉิ่น นอกจากนั้นเขายังคุ้นเคยเข้านอกออกในบ้านของออง ซาน ซู จี ได้และยังมีเส้นสายในกองทัพพม่า
“วินมิตร โยสาละวิน” อดีตผู้สื่อข่าวบีบีซีชาวพม่าผู้มีสายสนกลในอยู่ในกองทัพและนักการเมืองพม่า ทั้ง “วินมิตรและเบอร์ธิล” เป็นผู้สื่อข่าวร่วมสมัยกับผู้เขียน แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าวินมิตรกับเบอร์ธิลเน้นเรื่องการเมืองในพม่า ส่วนผู้เขียนเนื่องจากทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศ จึงต้องเร่ร่อนทำข่าวทั่วไปในอาเซียนและอินโดจีนรวมทั้งข่าวการเมืองประเทศไทย
ในฐานะนักข่าวร่วมสมัยเรามีความเห็นตรงกันว่าสำหรับการเมืองในพม่าหมดเวลาของออง ซาน ซู จีแล้ว ถึงแม้ว่าในบางประเด็นเรามีความเห็นแตกต่างกันแต่ประเด็นที่มีความเห็นตรงกันคือว่าการเมืองในพม่าถึงวาระสุดท้ายของออง ซาน ซู จี แล้ว
“เบอร์ธิล” เขีบนบทความพิเศษให้กับหนังพิมพ์อิระวดี
เปิดประเด็นในบทความว่า “ยุบพรรคเอ็นแอลดีก็ใช่ว่าการต่อต้านรัฐบาลทหารจากฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตยจะหมดไป...”
“....นายพลแห่งกองทัพพม่าคงหลงผิดที่คิดว่าถ้าพวกเขาจัดการยุบพรรคสันนิบาตแห่งชาติประชาธิปไตย หรือ พรรคเอ็นแอลดีได้ คือจุดจบของขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหาร จากฝ่ายมุ่งมั่นเพื่อการปกครองประชาธิปไตย.. สำหรับคนส่วนใหญ่ในพม่าเอ็นแอลดีไม่ใช่เป็นเพียงพรรคการเมืองแต่มันเป็นวิถีแห่งประชาธิปไตย....
“พรรคของเรากำเนิดขึ้นและเติบโตแข็งแรงมั่นคงโดยประชาชน ดังนั้น “เอ็นแอลดี” จะอยู่คู่กับประชาชนต่อไปตราบเท่าประชาชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุน” ออง ซาน ซู จี แถลงการณ์เมื่อปรากฏตัวในศาลผ่านทนายความ อู คิน หม่อง ซอว์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากว่านางไม่สามารถพูดต่อสาธารณะด้วยตัวเองได้
แถลงการณ์ในวันนั้นทำให้ผม (เบอร์ธิล) ระลึกถึงสิ่งที่ ออง ซาน ซู จี พูดกับผมเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันในย่างกุ้งเมื่อเดือน ก.พ. 2532 วันนั้น ออง ซาน ซู จี และคณะของเธอจากสำนักงานใหญ่เพิ่งเดินทางกลับมาจาก อิระวดีเป็นเมืองหนึ่งของพม่าที่สัญจรไปมาได้โดยทางเรือเท่านั้น
“ฉันประหลาดใจมากเมื่อไปถึงที่นั่น” ซู จี พูดอย่างอารมณ์ดี “เพราะสิ่งแรกที่ประชาชนที่นั้นอยากเราได้เห็นคือสำนักงานสาขาของเอ็นแอลดี ที่เพิ่งเปิดใหม่ และเราไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าพรรคเอ็นแอลดีมีสาขาในเมืองอิระวดี”
ในห้องเล็กๆ ของอาคารคอนกรีต พวกเราได้พบกับประธานสาขาพรรคผู้นั่งอยู่ม้าไม้เก่าๆ ที่โยกคลอนแล้ว ธงรูป นกยูงสัญลักษณ์ของพรรคติดอยู่บนฝาผนัง เบื้องหลังของธงสัญลักษณ์ของพรรคเป็นรูปวาดขนาดใหญ่ของนายพลออง ซาน บิดาของเธอ และรูปวาดของตะคิ่น โคดอว์เมียง กวีผู้ผลักดันให้มีขบวนการกู้อิสระภาพจากอังกฤษในระหว่างทศวรรษ 2463 และ 2473
จุดกำเนิดของพรรคเอ็นแอลดี ที่ได้แรงดลใจมาจากการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหารโดยฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตย เมื่อเดือนสิงหาคม และกันยายน 2531
พรรคเอ็นแอลดีเกิดขึ้นในส่วนกลางต่างจังหวัดและในภูมิภาคโดยปราศจากการช่วยเหลือจากศูนย์กลางในย่างกุ้ง แต่เป็นการจัดตั้งจากผลักดันของประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยในอนาคต
ไม่สำคัญว่าใครคือผู้สมัครในนามเอ็นแอลดีที่ลงแข่งขัน ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ศ. 2533 พรรคเอ็นแอลดีชนะถล่มทลาย แต่รัฐสภาที่พรรคเอ็นแอลดีชนะไม่มีโอกาสได้เปิดประชุม เพราะรัฐบาลทหารขณะนั้นไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจให้ นักกิจกรรมของพรรคถูกตามล่าตัว นักการเมืองของพรรคกูกจับคุมขังทรมานโดยไม่มีการสอบสวน สส. ที่ชนะเลือกตั้งอย่างน้อย 20 คน หนีมาประเทศไทยและไปประเทศอินเดีย และได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลแห่งชาติสหภาพพม่า National Coalition Government of the Union of Burma (NCGUB)
การเลือกตั้งในพม่ามันชัดเจนว่าชื่อของผู้รับสมัครเลือกตั้งไม่สำคัญ ตราบใดที่ออง ซาน ซู จี เล่นการเมือง และเธอยังคงอยู่ “ซูจี คงเหมือนที่ในเมืองไทยสมัยหนึ่งพูดกันว่าถ้าพรรคนั้นส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครนก็มีคนเลือก=ผู้เขียน”
ออง ซาน ซู จี อาจถูกโจมตี ถูกใส่ร้ายเยาะเย้ยถากถางจากนานาชาติ ในเรื่องที่เธอถูกกล่าวหาว่าปกป้องทหารที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮีนจา และถูกกล่าวหาว่าในระหว่างที่เธอเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี 2559 ถึง ปี 2563 สื่อมวลชนในพม่าอยู่ฐานะลำบาก ...“เช่นนายวา โลน และเพื่อนร่วมงานถูกจับขังคุกเพราะรายงานข่าวเรื่องทหารฆ่าโรฮีนจาและขายความลับทางราชการให้ต่างชาติ และออง ซาน ซู จี ไม่ให้ความสำคัญกับสื่อท้องถิ่นนางออง ซาน ซู จี ไม่เคยสัมภาษณ์สื่อพม่าและสื่อไทยเธอให้สัมภาษณ์กับนักข่าวฝรั่งเท่านั้น=ผู้เขียน”
..แต่สำหรับภายในประเทศคนพม่าผู้คนยังคงรักเคารพศรัทธา คนส่วนใหญ่เรียกนางว่าแม่ เพราะถ้าไม่มีเธอคงไม่มีขบวนการประชาธิปไตยต่อต้านรัฐบาลพม่าที่เข้มแข็งเหมือนทุกวันนี้ ออง ซาน ซู จี เท่านั้นที่กลายเป็นสัญลักษณ์และความต้องการของประชาชนที่จะได้อยู่ในสังคมเสรีปราศจากการกดขี่ของทหารและด้อยพัฒนา
แต่ในความนิยมที่คลั่งไคล้ได้กลายเป็นดาบสองคมเมื่อเธอย่างเข้าวัย 76 ปี ในเดือนมิถุนายน นางไม่สามารถเป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยได้อีกต่อไป ดังที่มีผู้วิจารณ์จากภายในประเทศ ว่าเธอละเลยไม่สนใจเปิดโอกาสคนรุ่นที่สองคนรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและมีบทบาทสำคัญในพรรคเอ็นแอลดี
ออง ซาน ซู จี กับคนกลุ่มเล็กๆ กุมอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากส่วนกลาง เธอไม่ฟังคำแนะนำและคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หรือการติเพื่อก่อ เธอฟังคนใกล้ชิดที่ประจบสอพลอไม่กี่คนที่พูดว่า “ถูกครับพี่ ดีครับนาย สบายครับท่าน”..ซึ่งไม่ได้เป็นนิมิตหมายที่ดีในสถานการณ์ที่ความสามัคคีและทีมเวิร์กเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
บางทีอาจเข้าใจได้ว่าฝ่ายตรงข้ามความตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากการติติงหรือการประเมินบุคลิกของเธอ เช่นรัฐบาลทหารบอกกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นและประเทศเอเชียอื่นๆ ว่าเธอดื้อรั้นและไม่ประนีประนอม ไม่มีใครเถียงได้ว่าเธอไม่ดื้อรั้น แต่ในบางสถานการณ์คับขันความดื้อรั้นเป็นจุดแข็งของเธอ เพราะว่าเธอปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของทหาร และเธอเหมารวมว่าทหารเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล
ประเด็นนั้นอาจจริงของเธอ เพราะผู้นำทางการทหารไม่รั้งรอที่จะลั่นกระสุนใส่ผู้ประท้วงอย่างสันติ หรือเมื่อเธอขอให้มีการปฏิรูปการเมือง กลับถูกกล่าวหาว่าเธอไม่มีเหตุผลและไม่ประนีประนอม
แต่ในการติชมอย่างสร้างสรรค์ มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากโดยเฉพาะคนที่แสวงหาแนวทางที่จะพัฒนาไปข้างหน้า และไม่ย้อนกลับมาสู่วงจรอุบาทอีกโดยเฉพาะคนที่หาหนทางไปข้างหน้า “ที่เรียกว่าพลังที่สาม” การเมืองในพม่าไม่พัฒนาไม่คืบหน้าเพราะในสามทศวรรษที่ผ่านมาวนเวียนที่พรรคยูเอสดีพีของทหารกับพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี
จึงมีข้อเสนอให้มีพลังที่สาม หรือ พรรคทางเลือกใหม่ขึ้นมาบ้างไม่ใช่วนเวียนอยู่ที่กองทัพกับออง ซาน ซู จี ดังที่เป็นมา “มอน มอน ยาต”นักวิชาการอิสระ ชี้ประเด็นให้เห็นในบทความของเขาเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า “การโต้แย้งที่ก้าวหน้าของ ดร.จอว์ ยินเหลียง เมื่อสิบปีที่แล้วในบทความที่ชื่อว่า “การเมืองสู่ทางตันในพม่า เขาได้บอกว่าประชาชนต้องก้าวข้ามออง ซาน ซู จี และ พรรคเอ็นแอลดีของนาง เพื่อก้าวสู่หนทางแห่งประชาธิปไตย แทนที่ทำตามระบอบต้องคิดนอกกรอบออกไป
ฟังดูแล้วมีเหตุผลและสามารถปฏิบัติได้ในรัฐอำนาจนิยมอื่นๆ แต่มอน มอน ยาต ก็ชี้ให้เห็นด้วยว่าในพม่าไม่สามารถทำได้ เพราะทหารพม่าไม่ประนีประนอมและไม่ยอมฟังความเห็นของผู้อื่นนอกจากความเห็นของทหารด้วยกัน และผู้ที่ผลักดันให้เกิดพลังที่สามกลับถูกกล่าวจากฝ่ายที่คลั่งประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ ว่าเป็นสมุนของทหาร
ตัวอย่างชัดเจนคือกลุ่มที่แยกตัวออกจากเอ็นแอลดี ที่เรียกชื่อว่า National Democratic Force (NDF) หรือพลังประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งพยายามจะเป็น “พลังที่สาม” และลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งเมื่อปี 2553 ซึ่งได้ที่นั่งรวมกันทั้งสภาสูงและสภาล่าง 12 ที่นั่ง และ NDF ก็แยกตัวกันไม่นานหลังจากชนะเลือกตั้งและไม่ชนะเลือกตั้งแม้แต่ที่นั่งเดียวจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2557 และผู้ที่เดินหน้าผลักดัน “พลังที่สาม” เกิดขึ้นอีกในปี 2561 โดยมี โกโก ยี อดีตนักโทษการเมืองและผู้นำการลุกฮือในปี 2531 โกโกยีกับสหายร่วมรบต่อต้านทหารมาด้วยกันเป็นเวลานาน ร่วมกันตั้งพรรคประชาชน People’s Party แต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่พรรคเอ็นแอลดีเช่นเดียวกับการเลือกตั้งเมื่อครั้งก่อน
พรรคประชาชน ก็แตกแยกกันหลังจากทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2563 และโกโก ยี ก็ทำให้หลายคนผิดหวังและไม่พอใจเมื่อเขาเข้าร่วมประชุมที่รัฐบาลทหารเตรียมการจัดให้มีการเลือกตั้งภายในสองปี ตามที่พลเอกมิน อ่อง หล่ายสัญญาไว้หลังจากยึดอำนาจ ความจริงที่ขมขื่นคือไม่เคยมีพลังที่สามและไม่มีพื้นที่ทางการเมืองให้พรรคการเมืองที่เรียกว่าพลังที่สามในพม่า
ประสบการณ์ในอดีตแสดงให้เห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องก้าวข้ามสิ่งแปลกประหลาดของสัญลักษณ์พรรคการเมืองในพม่า เอ็นแอนดีถ้าปราศจากออง ซาน ซู จี ก็ไม่มีพลังผลักดันประชาธิปไตย และพรรคอาจถูกยุบไปในที่สุดในเมื่อผู้นำต้องจบลงในคุกจากข้อหาคอร์รัปชั่นและละเมิดกฎหมายความลับทางราชการ ก.ม.ความมั่นคงภายในที่เขียนไว้ในสมัยอาณานิคม แต่กองทัพก็อาจล้มเหลวที่จะสำเหนียกว่าการยุบพรรคเอ็นแอลดีเหมือนที่ทำในทศวรรษ 2533 และต้นทศวรรษ 2543 จับกุมนักการเมืองท้องถิ่นและผู้นำระดับชาติ ปิดสำนักงาน ไม่ได้ทำลายล้างหรือถอนรากถอนโคนขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันเป็นเพียงการเปลี่ยนในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
หนึ่งทศวรรษก่อนยึดอำนาจในปีนี้ (2564) ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Generation Z (เจเนอเรชั่น Z) ที่โซเชียลมีเดียและอินเตอร์เนตกระตุ้นให้ คนหนุ่มสาวเป็นผู้ริเริ่มการประท้วงต่อต้านการยึดอำนาจ สำหรับพวกเขาไม่เพียงแต่เริ่มต้นจุดจบของออง ซาน ซู จี แต่การยึดอำนาจได้ยึดเสรีภาพในการแสดงออกของพวกเขาอย่างไร และวิถีชีวิตที่สนุกกับสังคมเปิด หลังจากพม่าเปิดประเทศรับคนต่างชาติเมื่อปี 2555 พวกเขาใช้อินเตอร์เนตเป็นช่องทางสื่อสารและยังคงติดต่อกันในขบวนการเปิดโปงตำรวจและทหารที่ทารุณโหดร้าย
เหมือนกับนักกิจกรรมหลายคนเคยทำหลังจากการปราบปรามนองเลือดในปี 2531 บางคนหนีไปชายแดนเข้าร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ช่วยเขาฝึกการสู้รบและจัดหาอาวุธให้ แต่ในทางคู่ขนานกับปี 2531หน ทางที่ทหารดูเหมือนว่าชนะเพราะมีกำลังและอาวุธเหนือกว่าแต่ครั้งนี้นักกิจกรรมพูดว่าฝันหวานของทหารมันอาจกลายเป็นฝันร้าย
ในเหตุการณ์นองเลือดปี 2531 และ 2543 หลังเลือกตั้งน.ศ. ประชาชน หนีออกนอกประเทศ หนีเข้าป่าและมีการตั้งรัฐบาลเหมือนหลังยึดอำนาจครั้งนี้ สมัยนั้นรัฐบาลทางเลือกชื่อว่ารัฐบาลร่วมแห่งชาติสหภาพพม่า Nationalcoalition Government of Union Burma = NCGUB ในครั้งนี้ก็มีการจัดตั้งรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ The National Unity Government=NUG ที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากให้เป็นที่ยอมรับของประชาคมนานาชาติ
คนเก่าอย่างผม(เบอร์ธิล) มีลางสังหรณ์ว่าการต่อสู้จะล้มเหลวเหมือนที่เคยเป็นมา เมื่อพวกเราเป็นผู้สังเกตการณ์พัฒนาการหลังยึดอำนาจ เราได้เห็นมันมาก่อนว่าฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตยล้มเหลวอย่างไร
แต่อย่างไรก็ตามยังมีความหวังอย่างริบหรี่อยู่ที่ เจน Z เพราะพวกเขาอาจไม่มีแกนนำที่มีชื่อเสียง ไม่มีแกนนำที่ผู้คนรู้จัก แต่ผู้เข้าร่วมต่อต้านรัฐบาลทหารเหล่านั้นได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างมีนัย ความอดทนมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะบรรลุการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พวกเขายังหนุ่มและสดกว่ามีความมุ่งมั่นกว่าผู้นำแก่ๆ ของเอ็นแอลดี
เสรีภาพในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งพม่าไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ พ.ศ.2503 ได้หล่อหลอมพวกเขาเป็นนักสู้ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกๆที่นำการต่อต้านรัฐบาลทหาร ที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับภาคประชาสังคม สื่อสารมวลชน ผู้รณรงค์เรื่องสิทธิสตรี กลุ่มนักกิจกรรมหนุ่มสาวและเอ็นจีโอ พวกเขาถูกกดดันให้ลงใต้ดินตั้งแต่ทหารยึดอำนาจ หลบซ่อนอยู่ตามเซฟเฮ้าส์ และอยู่ในพื้นที่กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ พวกเขายังเต็มไปด้วยพลัง และความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรก็ตามต่อต้านการปกครองเผด็จการทหาร
ผู้นำคนใหม่อาจเกิดขึ้นในหมู่คนเหล่านั้น เหมือนกับที่ชาวพม่าเคยทำเมื่อครั้งนายพลออง ซาน และสหายหนุ่มก่อตั้งขบวนอิสรภาพในทศวรรษ 2463 และระหว่างการลุกฮือในปี 2531 ที่เคยมีคนรุ่นอื่นๆ ของนักกิจกรรมเข้าร่วมพลังกับรุ่นแรก พร้อมๆ กันกับการก่อตั้งพรรตเอ็นแอลดี
โกโก ยี อาจสูญเสียความนิยมของเขาในอดีตไปแล้ว แต่ยังมีนักกิจกรรมคนอื่นๆ เช่น Min Ko Naing และ Mya Aye ผู้ซึ่งยังเป็นที่เคารพศรัทธาของกลุ่มพลังประชาธิปไตย แต่จะให้ขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหารประสบความสำเร็จ จำต้องมีปรากฏการณ์ทหารแตกแถว หรือมีกลุ่มทหารหนุ่มผู้กล้าท้าทายความคิดแบบไดโนเสาร์ในบรรดาผู้นำของพวกเขา แต่เป็นที่น่าเศร้าใจ ไม่มีวี่แววว่านายทหารหนุ่มมีความคิดอย่างนั้น ไม่มีทหารที่สำนึกว่าสังคมพม่าต้องเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่สำนึกว่าการลั่นกระสุนใส่ผู้ประท้วงล้มลงในถนนไม่ใช่วิถีทางบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตามหากการแตกแถวไม่เกิดขึ้นในหมู่ทหาร พม่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนหลังการนองเลือดปี 2531 คือพม่าจะถูกปกครองโดยนายทหารผู้ซึ่งสนใจในผลประโยชน์ของตัวเอง ปกป้องสิทธิ และ สถานะของตัว ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากกว่ามองความรุ่งโรจน์ของประเทศชาติ
ในประเด็นที่จะไม่มีทหารแตกแถวยึดอำนาจหรือปฏิวัตซ้อนวิน มิตร มีความเห็นตรงกับเบอร์ธิล “ทหารแตกแถวหรือปฏิวัติซ้อนเกิดขึ้นได้ยากมากในพม่า จะเห็นว่าหลังยึดอำนาจมีตำรวจทหารจำนวนสิบกว่าคนที่แตกแถวหนีเข้าป่าหรือละทิ้งหน้าที่” วิน มิตร พูดกับแนวหน้าและกล่าวเสริมว่า คนพม่าชอบเห่อตามกระแส เช่น การประท้วงแรกๆ ก็แห่กันออกมาทุกหมู่เหล่าทุกหมู่บ้านตำบลทุกจังหวัดนานๆ เข้าค่อยหายไปปัจจุบันนี้แทบไม่มีแล้ว
พวกหนีเข้าป่าก็เหมือนกันไม่นานก็กลับออกมาเพราะคนรุ่นใหม่ทนอยู่ในป่าได้ไม่นาน ส่วนผู้นำรุ่นใหม่อย่าหวังว่าจะได้ มิงโก นาย กลับมาเป็นผู้นำ คนรุ่น 1988 (2531) เมื่อเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอุดมการณ์เปลี่ยนไปส่วนใหญ่อ่อนล้า บางคนเบื่อความดื้อรั้นของ ออง ซาน ซู จี หนีไปเป็นนักวิชาการ บางก็เป็นนักธุรกิจทำมาหากิน
คนที่ยังรักศรัทธา ออง ซาน ซู จี ก็จะทำอะไรได้ในเมื่อนางต้องติดคุกในคดีคอร์รัปชั่น รับสินบนและข้อหาร้ายแรงคือละเมิดกฎหมายความมั่นคงของชาติเธออาจต้องติดคุกและถูกยุบพรรค แต่หลังจากการเลือกตั้งที่มั่นใจว่าพรรคยูเอสดีพี ได้จัดตั้งรัฐบาลหลังจากนั้นไม่นาน ออง ซาน ซู จี ก็จะได้รับอภัยโทษปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ
พลเอกมิน อ่อง หล่าย ต้องทำตามสัญญาที่บอกว่าจัดให้มีการเลือกตั้งภายในสองปี เพราะเขามั่นใจว่าพรรคยูเอสดีพีต้องได้จัดตั้งรัฐบาล ผลจากการเลือกตั้งแบบใหม่ที่จะใช้วิธีเลือกตั้งแบบสัดส่วน ตำแหน่ง สส. จะแบ่งสรรปันส่วนกันตามเปอร์เซ็นต์จากคะแนนรวมทั้งประเทศ ไม่ใช่ชนะคะแนนเดียวก็ได้เป็น สส. ในเขตใดเขตหนึ่งได้เหมือนเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา
รัฐธรรมนูญพม่าให้โควตาที่นั่งในสภา 25% แก่กองทัพ การเลือกตั้งแบบสัดส่วน พรรคยูเอสดีพีได้เพียง 25% หรือรวบรวมเสียงจากพรรคกลุ่มชาติพันธุ์มาให้ได้เกิน 25% ก็ตั้งรัฐบาลแล้ว ผม (วิน มิตร) จึงเห็นด้วยกับเบอร์ธิลที่ว่าการเมืองในพม่า “หมดเวลาของ ออง ซานซู จี แล้ว”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี