ในแวดวงสื่อ วิชาการ การเมือง และสาธารณชน ที่สนใจเรื่องการบ้านการเมืองโดยทั่วไป มักจะมีความเข้าใจและยอมรับกันว่าในเวทีการเมืองของประเทศหนึ่งใดนั้น มักจะมี “ผู้เล่นทางการเมือง (Players/Actors)” ที่จัดได้ว่าเป็นสถาบันทางการเมือง เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพรรคการเมือง สถาบันข้าราชการประจำ (ทหาร พลเรือน ตำรวจ) สถาบันสื่อ สถาบันวิชาการและปัญญาชนสถาบันศาสนา เป็นต้น อีกทั้งก็จะมีกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านธุรกิจ และวิชาชีพ ไปจนถึงสหภาพแรงงาน
แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และโดยเฉพาะในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ก็มีผู้เล่นทางการเมืองที่จัดได้ว่าเป็นสถาบันที่สำคัญอีกอันหนึ่งเกิดขึ้น คือสถาบันของบรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐหรือองค์กรที่มิแสวงหากำไรหรือองค์กรเพื่อช่วยเหลือสังคม (Non-governmental Organizations - NGOs, Not for Profit Organizations - NPOs และ Civil Society Organizations - CSOs) ซึ่งโดยรวมมีบทบาทอันสำคัญในการเรียกร้องความยุติธรรมและความเสมอภาคในสังคม เรียกร้องการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส และมีผู้รับผิดชอบต่อผลของการกระทำ อีกทั้งร่วมรับผิดชอบงานทางด้านสังคมต่อจากภาครัฐ หรือรับงานจากภาครัฐ หรือร่วมทำงาน หรือเสริมงานของภาครัฐ เช่น ในเรื่องการดูแลผู้ยากไร้ ผู้ช่วยตัวเองมิได้ ไปจนถึงเรื่องการให้การศึกษา ฝึกอบรม และรักษาพยาบาล
โดยบทบาทขององค์กรที่มิใช่รัฐเหล่านี้ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือที่กำลังเพียรพยายามที่จะเป็นประชาธิปไตยทำให้มักจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่การบริหารจัดการองค์กรนี้มีความเป็นอิสระจากภาครัฐ หรือเป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกัน หลายๆ องค์กรที่มิใช่รัฐก็ได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ อาทิจากองค์การสหประชาชาติในฐานะผู้ร่วมงานในการช่วยเหลือดูแลประชากรโลก โดยเฉพาะในช่วงภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่นการสู้รบกัน เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการมีตัวมีตน และการคงอยู่ของบรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐในหลายๆ ประเทศ ที่จัดได้ว่าเป็นสังคมเปิดอยู่ ก็ไม่พ้นที่จะถูกมองว่าเป็นเสมือนคู่อริทางการเมืองของรัฐบาล เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างความรำคาญอกรำคาญใจและแทรกแซงในกิจการงานของภาครัฐ ในขณะเดียวกันประเทศที่มีการเมืองการปกครองที่มีลักษณะเป็นเผด็จการ ก็เลยมักจะห้ามมิให้มีการจัดตั้งองค์กรที่มิใช่รัฐ หรือหากเปิดให้ตั้งได้ ก็จะเข้าไปควบคุม หรือจำกัดจำเขี่ยบทบาท เพราะเกรงว่าองค์กรที่มิใช่รัฐจะมีอิทธิพลและบทบาทที่จะกระทบต่อเสถียรภาพ และอำนาจของภาครัฐ
ในสังคมไทยก็จัดได้ว่ามีการยอมรับการมีอยู่และการมีบทบาทขององค์กรที่มิใช่รัฐซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับบ่งบอกว่าองค์กรที่มิใช่รัฐเป็นที่ยอมรับของสังคม และสังคมก็ยังทำการบริจาคให้อยู่ แต่ประเด็นปัญหาของสังคมไทยในเรื่องหนึ่งคือ กฎเกณฑ์กติกาเกี่ยวกับการจัดตั้ง กำกับดูแลจะให้เป็นเรื่องขององค์กรที่มิใช่รัฐกันเอง หรือจะให้ภาครัฐหรือรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด โดยคำนึงว่า กฎเกณฑ์กติกาก็ควรจะมีไว้เพื่ออำนวยให้องค์กรที่มิใช่รัฐปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งความน่าเชื่อถือขององค์กรที่มิใช่รัฐขึ้นอยู่กับสมาชิกและผู้บริจาค และการยอมรับของสังคมโดยทั่วไป โดยไม่ได้เป็นเรื่องที่ทางภาครัฐจะต้องเข้าไปควบคุม เพราะองค์กรมิใช่รัฐเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วมิได้ขึ้นตรงอยู่กับรัฐ เพื่อที่จะได้มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลก็เป็นเรื่องของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อองค์กรมิใช่รัฐนั้นๆ ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงเป็นอันดับแรก และป้อมปราการสุดท้ายก็คือ กระบวนการยุติธรรม
ในการนี้โดยที่องค์กรที่มิใช่รัฐมีบทบาทต่อสังคมอย่างกว้างขวาง และฉะนั้นจึงจัดได้ว่า เป็นสถาบันการเมืองที่สำคัญอีกอันหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย
อีกมุมมองหนึ่งที่บ่งบอกการเป็นสถาบันการเมืองขององค์กรที่มิใช่รัฐ ก็เป็นเสมือนกระจกสะท้อนความเป็นไปของบ้านเมือง และเป็นเครื่องเตือนสติให้กับผู้ที่ใช้อำนาจรัฐบริหารบ้านเมือง
เท่ากับว่าองค์กรมิใช่รัฐนอกจากจะเป็นผู้ช่วยเสริมงานหรือรับงานแทนหน่วยงานของรัฐเพื่อสังคมแล้ว ยังจะช่วยเป็นผู้ที่จะถ่วงดุล และคานอำนาจของสถาบันการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะสถาบันพรรคการเมือง และสถาบันข้าราชการประจำได้ แต่ต้องการให้การใช้อำนาจรัฐเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้อง
ที่สำคัญองค์กรที่มิใช่รัฐ แม้ว่าจะเป็นสถาบันการเมืองแต่ไม่มีความต้องการในเรื่องอำนาจทางการเมืองหรือมีตำแหน่งหน้าที่ จึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับความน่าเชื่อถือและไว้เนื้อเชื่อใจและการสนับสนุนจากสังคม และเพื่อคงคุณค่า บรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐก็จะต้องมีความโปร่งใสในการบริหารจัดการอย่างเป็นที่สุด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี