นิสิตจุฬาฯ กลุ่มหนึ่ง อาศัยสถานะ “คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” หรือ อบจ. ออกประกาศยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
กลุ่มนี้ อาศัยสถานะที่ได้รับเลือกจากนิสิตราวหมื่นคน จากนิสิตปัจจุบันทั้งหมดเกือบ 4 หมื่นคน (ยังไม่นับรวมศิษย์เก่า เจ้าหน้าที่ คณาจารย์จุฬาฯ อีกจำนวนมาก)
มุ่งหวังจะ “หาแสง” ทั้งๆ ที่ นิสิตจุฬาฯส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเรียนและกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมการเมืองที่เด็กกลุ่มนี้ทำก่อนหน้านี้ก็มีนิสิตจุฬาฯ เข้าร่วมเพียงน้อยนิด
การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ จงใจประกาศออกมาช่วงวันปิยมหาราช 23 ต.ค. เจตนาชัดเจนเพื่อตีกระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อด้อยค่ากิจกรรมประเพณีที่แสดงถึงความจงรักภักดี และความกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ผู้มีพระคุณต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล้นเกล้าฯ ร.5
ทั้งๆ ที่ กิจกรรมดังกล่าว เป็นกิจกรรมของสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ฯ หาก อบจ.ไม่เห็นด้วย ไม่เข้าร่วม ทางจุฬาฯ และคณะศิษย์เก่าก็สามารถจัดหานิสิตดี เด่น เก่ง หรือแม้แต่จะเอาศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่พวกขี้แพ้มีปมหิวแสง มาสืบสานประเพณี ก็เชื่อว่าจะมีชาวจุฬาฯ พร้อมใจกันเข้าร่วมจำนวนมาก
1. อบจ.ระบุว่า รูปแบบของขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวนั้นจำลองกระบวนแห่อย่างราชสำนัก จะมี “ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว” ถือ “พระเกี้ยว” ที่เป็นสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั่งบนเสลี่ยงซึ่งถูกแบกโดยนิสิตกว่า 50 คน
“...กิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวสนับสนุนและสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยม รวมถึงค้ำยันความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน รูปแบบกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวยังเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมแบบศักดินาที่ยกกลุ่มคนหนึ่งสูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่งพร้อมสัญลักษณ์ของศักดินาคือ “พระเกี้ยว” บนเสลี่ยง... คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์ฯ จึงเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ล้าหลังอันขัดต่อคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน จากมติในวาระการประชุมสามัญครั้งที่ 1/2564 ของคณะกรรมการบริหารฯ มีมติ 29 : 0 เสียง เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือก
ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เพื่อยุติการผลิตซ้ำธรรมเนียมปฏิบัติที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมมิให้คงอยู่ในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป”
2. “พระเกี้ยว” คืออะไร? ชาวจุฬาฯ ได้แบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจว่า
“...พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สี่นั้น มีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ”เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ ก็ได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยย่อว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็มาจากความหมายถึงคำว่า“มงกุฎ”นั่นเอง
ครั้นพระราชโอรสประสูติ ก็ทรงพระราชทานพระนามให้ว่า “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” ซึ่งต่อมาเมื่อครองราชย์ ก็มีพระเฉลิมพระปรมาภิไธยในพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว” และ ได้มีพระเฉลิมพระปรมาภิไธยจากในพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่สองว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ซึ่งความหมายของพระนาม ทั้ง“จุฬาลงกรณ์” และ “พระจุลจอมเกล้า” ก็มาจากการสืบสานพระนามของพระราชบิดา โดยมีความหมายว่า จุลมงกุฎ หรือ “มงกุฎน้อย”และมีพระราชลัญจกร เป็นภาพ จุลมงกุฏ หรือ ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระเกี้ยว”เพื่อสืบทอดต่อจากพระราชลัญจกรของรัชกาลที่สี่ ที่เป็นภาพ พระมงกุฎ นั่นเอง
ด้วยรัชกาลที่ห้า ทรงมีความตั้งพระทัยจะให้ประชาชนคนสยามได้รับการศึกษา และต้องการสร้างคนดีมีความรู้เพื่อทำงานรับใช้ชาติบ้านเมือง ก็ทรงจัดตั้งสถานศึกษาชื่อว่า “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” และพระราชทานตรา“พระเกี้ยว” ประจำพระองค์ เป็นตราเครื่องหมายประจำโรงเรียน
สถานศึกษานี้ต่อมา ก็พัฒนาและขยายโครงสร้างการศึกษาขึ้นเป็นระดับอุดมศึกษา และได้รับการยกระดับขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัย”แห่งแรกของสยามประเทศ และได้รับเกียรติได้รับชื่อมหาวิทยาลัย ตามพระราชนามของผู้ก่อตั้งเดิมคือ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
ตรา“พระเกี้ยว”จึงไม่ใช่เพียงเครื่องหมายปกติธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ แสดงถึง ที่มาของสถาบันการศึกษา พระเจตนารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่มีต่อพสกนิกร และความภาคภูมิใจของนิสิตนักศึกษาและนักเรียน ที่รับเกียรติได้ใช้เครื่องหมายนี้ทุกๆ คนมาหลายต่อหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน
นอกจากตรา“พระเกี้ยว” แล้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในอีกมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะสีชมพู ที่เป็นสีประจำพระองค์ของรัชกาลที่ห้า เสื้อครุยพระราชทาน ของรัชกาลที่หก ต้นจามจุรีที่รัชกาลที่เก้าทรงปลูกด้วยพระองค์เอง และ เพลงพระราชนิพนธ์ที่รัชกาลที่เก้าทรงพระราชนิพนธ์ให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย
เมื่อมหาวิทยาลัยมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณต่อเนื่องมามากมายจนถึงปัจจุบันเช่นนี้ การได้เข้าศึกษาในสถาบันนี้ จึงเป็นความภาคภูมิใจและซาบซึ้งใจที่สุดของพสกนิกรทุกๆคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็ไม่เข้าใจว่า หากผู้หนึ่งผู้ใด ที่ขาดความเคารพ ขาดความรัก และขาดความศรัทธาในรากเหง้าและประวัติศาสตร์ที่ดีงามของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
จะกระเสือกกระสน แย่งโอกาสผู้อื่น เข้าไปศึกษา เพื่อจะด้อยค่า หยามเกียรติ และก่อประเด็นต่ำตมต่างๆ เพื่อสร้างความขัดแย้งในสังคมเยี่ยงนี้ไปเพื่ออะไรนะครับ”
3. คุณนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง เขียน “จดหมายเปิดผนึกถึงผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ระบุว่า
“วันที่ 23 ตุลาคม คือวันปิยมหาราช เป็นวันที่คนไทยทั่วทั้งประเทศจัดงานวางพวงมาลาถวายบังคมต่อพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อชาวไทย และที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีการจัดงานถวายมาลาต่อหน้าพระบรมรูปสองรัชกาล
แต่ในวันนั้น อบจ.กลับมีการออกแถลงการณ์จะไม่อัญเชิญพระเกี้ยวในการจัดงานบอลประเพณี ประจำปีระหว่างจุฬาฯและธรรมศาสตร์ แต่ใช้วาทกรรมด้อยค่าพระเกี้ยวที่เป็นของสูงและเป็นสัญลักษณ์ของจุฬาฯ
นิสิตจุฬาฯ ทุกรุ่น และประชาชนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนชาวไทย
พระคุณของพระองค์ทรงสูงส่งเกินกว่า อบจ.ไม่กี่คนจะมาด้อยค่าพระองค์ท่าน
ผมขอเรียกร้องผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่านิ่งเฉยต่อสิ่งเกิดขึ้นซ้ำซากในมหาวิทยาลัย อย่าให้นิสิตจุฬาฯ ต้องผิดหวังต่อการบริหารงานของอธิการและผู้บริหารจุฬาฯ โดยไม่ทำอะไรในการปกป้องชื่อเสียงและพระเกียรติคุณของพระปิยมหาราช พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”- นันทิวัฒน์ สามารถ
4. คุณ Katanyoo Tungmepol ให้ความเห็นว่า
“จะไม่อัญเชิญพระเกี้ยว จะเปลี่ยนแปลงจุฬา ก็อย่ารับผลประโยชน์จากที่ดินรอบๆ จุฬา
คืนที่ดินทั้งหมดให้ทายาทของท่านไป คืนผลประโยชน์มหาศาลที่หล่อเลี้ยงทั้งจุฬาไปเสีย แล้วไปเก็บเงิน สร้างมหาวิทยาลัยใหม่เอาเอง อนุญาตให้เอาบุคลากรทั้งหมดที่มีอยู่วันนี้ตามไปได้
คนจะเท่ากันได้ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เกาะกินผลประโยชน์ แต่ทำลายราก
แบบนี้เรียกว่า กาฝาก หรือมะเร็ง
ทายาทของผู้พระราชทานที่ดินจะได้เอาที่ดินไว้ใช้ทำมาค้าขาย เอาไว้ทำคอนโด ศูนย์การค้า ตามสิทธิ์อันชอบธรรมต่อไป”
5. คุณ Chai Seeho สะท้อนความรู้สึกนึกคิดในฐานะคนนอก อย่างน่าสนใจ บางตอนว่า
“คนไม่เท่ากัน ผมเป็นคนที่เชื่อมาตลอดว่าคนเราไม่มีวันที่จะเท่าเทียมกัน...ตั้งแต่เกิด
แค่วันแรกที่จำความได้ ผมมีพ่อแม่กับย่า ที่สถานะ“สูง”กว่าผม แม้กระทั่งพี่ๆ ก็ต้องยอมรับว่า“สูง”กว่าในสถานะต่างๆ ใครหลายคนคงไม่รู้เกี่ยวกับเสื้อผ้า ชุดนักเรียนนี้เป็น“มรดก”จากพี่สู่น้อง ที่แปลว่าน้องคงไม่ค่อยมีโอกาสได้เสื้อนักเรียนใหม่ตอนเปิดเทอม
เมื่อเข้าเรียนโรงเรียนวัด ที่บางวันต้องเดินไปเรียน 5-6 กม. ก็รู้ว่าไม่มีความเท่าเทียมกันในสังคมนักเรียนโรงเรียนวัด เพราะในขณะที่ผมต้องเดินไปเรียน เพื่อนบางคนก็มีพ่อขับมอเตอร์ไซค์มาส่ง
...ผมมองว่าสิ่งที่ทำให้คนเรา“เท่ากัน”ที่ดีที่สุดคือเราต้อง“สร้าง”สถานะของตัวเอง ไม่ใช่สาบแช่งหรือหวังให้คนอื่นตกลงมาต่ำ หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เรายกฐานะได้คือการเรียน ผมไม่เคยอายหรือเสียใจที่เอนท์ไม่ติด จึงเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง แถม“ดีใจ”ด้วยซ้ำที่สามารถเรียน(จน)จบได้แม้จะต้องใช้เวลาถึง 5 ปี
ผมใช้วุฒิเศรษฐศาสตรบัณฑิตสร้างสถานะให้ตัวเองด้วยการประกอบสัมมาอาชีพ จนสามารถมีปัจจัยสี่เป็นของตัวเอง เมื่อสร้างสถานะเอง ผมดีใจที่ยกสถานะขึ้นมาเทียบเท่าคนอื่นโดยไม่ได้ดึงคนอื่นลงมาอยู่ในสถานะต่ำ
ผมเชื่อแบบนั้น.. และเมื่อผมมีสถานะสูงขึ้นในหน้าที่การงาน(ที่เอื้อต่อสถานะในสังคม) ผมก็อยากให้“เด็กใหม่”เข้าใจสิ่งที่เขาต้องเจอ เหมือนที่ผมเคยเจอ ตอนเรียนจบแล้วไปสมัครงาน แค่บอก“จบราม” บริษัทห้างร้านหลายแห่ง(รวมทั้งบางธนาคารที่ผมไปสมัคร) ยังบอกอย่ามาสมัครให้เปลืองรูปถ่ายเลย ซึ่งผมก็ต้องยอมรับ “สถานะ” ของ “สถาบัน”ว่าแตกต่างกัน ส่วนใครที่คิดต่างจากผม ก็เป็นเรื่องของเขา ผมไม่คิดหรือต้องไปสนใจอะไร เพราะสังคมทั่วโลกผมเชื่อว่าทุกอย่างมี“สถานะ”ที่ทำให้คนต่างกัน
ทันทีที่เรียนจบและทำงาน คุณจะเรียกร้องเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง หรือค่ารับรองเท่ากับผู้บริหาร มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่คุณมีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากับคนอื่นอยู่ที่คุณรู้และทำให้ค่าความเป็นคนของคุณสูงส่งหรือต่ำทราม.. แต่ต้องไม่ใช่ดึงคนอื่นลงมาตกต่ำ อยากให้ประธานบริษัทไม่มีรถประจำตำแหน่ง ต้องนั่งรถเมล์มาทำงานเหมือนคุณอันนั้นแค่คิดก็บัดซบแล้ว
เชื่อเถอะ ..เชื่อเหมือนผมว่าสถานะเราเท่ากันในความเป็นคน แต่สถานะทางสังคมมันไม่มีทางเท่ากันได้
ยิ่งเป็น“คนดี” ก็ขอให้เชื่อเถอะว่าคุณมีสถานะดีกว่า“คนเลว”แน่นอน..”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี