สื่อบางสำนักในไทย คือกองกำลังดิสเครดิตรัฐบาลด้วย “ความจริงครึ่งเดียว”
แต่สวมเสื้อคลุมสื่อมวลชน
มีกรณีมากมายที่มีพฤติกรรมให้เห็นเจตนาเช่นนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำซาก
ตัวอย่าง
1. กรณีข่าวต่างประเทศราบงานว่า บริษัท Pfizer บรรลุข้อตกลงกับองค์การสิทธิบัตรยา (Medicines Patent Pool-MPP) ภายใต้การสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติ (UN) บรรจุให้ยาต้าน COVID-19 ของบริษัท Pfizer อยู่ในรายชื่อยาที่สามารถใช้สิทธิบัตรร่วมได้
อันจะส่งผลให้ 95 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศรายได้ปานกลางและยากจนในเอเชียและแอฟริกา สามารถนำสูตรยาต้าน COVID-19 ของบริษัท Pfizer ผลิตใช้ในประเทศได้
ยาดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงของผู้ป่วย COVID-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 89 และมีประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ ที่เข้าเกณฑ์สามารถขอใช้สิทธิบัตรร่วม ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ส่วนประเทศที่ไม่อยู่ในรายชื่อ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
2. แต่สื่อไทยบางสำนัก ก็จงใจที่จะตัดทอนเนื้อหา รายงานพาดหัว ทั้งในทีวีและออนไลน์เครือข่าย
เจตนาเน้นแต่เพียงว่า “ไฟเซอร์ไฟเขียว 95 ประเทศ ... แต่ไม่มีชื่อประเทศไทย”
แล้วก็จะมีเพจออนไลน์เจ้าประจำนำไปขยายผล ดิสเครดิตโจมตีด้วยข้อมูลเท็จ
เปิดให้สาวกสามนิ้ว และแนวร่วมล้มรัฐบาลมารุมถล่มด้วยคำหยาบ คำด่า ด้อยค่าประเทศไทย โดยไม่สนใจที่มาที่ไปว่าทำไมจึงไม่มีชื่อประเทศไทย ไม่สนใจว่าประเทศที่ได้รับสิทธินั้นมีสถานะและสภาพเป็นอย่างไร แต่รุมด่านายกฯ ด่ารัฐมนตรี ด่ารัฐบาล ด้วยถ้อยคำรุนแรง
แล้วก็แชร์ต่อๆ กันในโลกออนไลน์
แล้วก็ฝังหัวเป็นความรู้สึกติดแน่นว่า รัฐบาลล้มเหลว ใช้ไม่ได้ โง่เง่า ต้องขับไล่ออกไป ฯลฯ
3. นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจงว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่เกณฑ์ที่บริษัท ไฟเซอร์ จะให้สูตรผลิตยาแพกซ์โลวิดเนื่องจากเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-สูง ซึ่งบริษัทไฟเซอร์ได้แจ้งมาแล้วว่าไทยไม่ได้อยู่ใน 95 ประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยพยายามเจรจาต่อรองเรื่องการขอสูตรผลิตยาแพกซ์โลวิด ซึ่งต้องเป็นการเจรจาในระดับประเทศ ส่วนความคืบหน้ายาโมลนูพิราเวียร์ ขณะนี้การสัญญาการจัดซื้อดังกล่าวถูกส่งให้กรมบัญชีกลางพิจารณา ซึ่งในวันพรุ่งนี้กรมบัญชีกลางจะมีการประชุม แล้วแจ้งกลับมาที่กรมการแพทย์ คาดว่า จะได้เซ็นสัญญาอย่างช้าสัปดาห์หน้า
4. ถ้าไล่ดูรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิ ประกอบด้วย Afghanistan, Algeria, Angola, Armenia, Bangladesh, Belize, Benin,Bhutan, Bolivia (Plurinational State of), Botswana, Burkina Faso, Burundi, Cabo Verde, Cambodia, Cameroon, Central African Republic, Chad, Comoros, Congo, democratic Republic of the, Congo, Cote d’Ivoire Djibouti, Egypt, El Salvador, Equatorial Guinea, Eritrea, Eswatini, Ethiopia, Gabon, Gambia (the),Georgia, Ghana, Guatemala, Guinea, Guinea-Bissau, Haiti, Honduras, India, Indonesia, Iran (Islamic Republic of), Jordan, Kenya, Kiribati, Korea (Democratic People’s Republic of), Kosovo, Kyrgyzstan, Lao People’s Democratic Republic (the), Lesotho, Liberia, Madagascar, Malawi, Mali, Mauritania,Micronesia (Federated States of) Moldova, Republic of,Mongolia, Morocco, Mozambique, Myanmar, Namibia,Nepal, Nicaragua, Niger, Nigeria, Pakistan, Papua New Guinea,Philippines, Rwanda, Samoa, Sao Tome and Principe, Senegal, Sierra Leone, Solomon Islands, Somalia, South Africa, South Sudan, Sri Lanka, Sudan, Syrian Arab Republic, Tajikistan, Tanzania, United Republic of, Timor-Leste, Togo, Tonga,Tunisia, Uganda, Ukraine, Uzbekistan, Vanuatu, Venezuela(Bolivarian Republic of), Viet Nam, Yemen, Zambia,Zimbabwe
จะเห็นว่า เกือบทั้งหมดอยู่ในข่ายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรือค่อนไปทางรายได้ต่ำ หรือมีปัญหาการเข้าถึงบางประการอยู่ทั้งนั้น นั่นคือสาเหตุที่เขาให้สิทธิเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
ประเทศในอาเซียนที่ไม่อยู่ในรายชื่อ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
โดยไทยเรา ปัจจุบัน พัฒนามาจนไม่ใช่ประเทศยากจนแล้ว แต่ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับปานกลาง
ล่าสุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เพิ่งเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวน 65 ล้านโดสโดยจะพิจารณาการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น ทั้งแบบพ่นจมูก เพื่อนำมาดำเนินการในเรื่องวัคซีนของประเทศไทยให้เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ไทยเราได้จัดสรรงบประมาณในการดูแลเยียวยาประชาชนสูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเปก รองจากประเทศชิลี โดยใช้งบประมาณไปถึง 25% ของ GDP
5. ที่น่าแปลกใจ คือ สื่อบางสำนักที่นำเสนอชี้นำความเข้าใจของประชาชนให้ด้อยค่ารัฐบาลด้วยความจริงครึ่งเดียว โดยเจตนาดิสเครดิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลองไปดูงบโฆษณาก็จะพบว่า ได้รับงบโฆษณาจากหน่วยงานรัฐรัฐวิสาหกิจ จำนวนไม่น้อย อู้ฟู่เลยทีเดียว
เท่ากับว่า ภาครัฐสนับสนุนเงินให้สื่อเหล่านี้ ทำการดิสเครดิตรัฐบาลเองต่อไปเรื่อยๆ อย่างได้ใจ และได้ตังค์
ทั้งๆ ที่ พฤติกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ว่าไม่ได้ทำหน้าที่สื่อกลางอย่างแท้จริง เพียงแต่สวมเสื้อคลุมสื่อ หาผลประโยชน์ทางธุรกิจและดิสเครดิตบั่นทอนทำลายรัฐบาล เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม มิใช่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี