วันที่ 6 ธันวาคม 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองหัวหน้าพรรค ได้เดินทางเข้าที่ทำการพรรค เพื่อกล่าวอำลาในการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ กับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงานส่วนตัว พร้อมนำพวงมาลัยมากราบ เพื่อแสดงความเคารพและอำลา
โดยภายหลังการกล่าวอำลาเสร็จสิ้น นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า มีแนวคิดที่จะลาออกในช่วงเดือน ธ.ค.โดยนายชวนได้ขอให้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อไปไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดซึ่งที่ผ่านมา นายชวนได้รับฟังปัญหามาตลอดและได้ขอให้อดทน ท้ายที่สุดแล้วตนก็อดทนน้อยไป เมื่อลาออกจากพรรคแล้ว ส่วนตัวก็ไม่ขอฝากอะไรกับพรรค แต่ขอให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนรักษาพรรคไว้ให้ได้ ที่ผ่านมาได้ทำงานให้พรรคมาอย่างยาวนาน ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่กับพรรคมาถึง 30 ปีก็ว่าได้
นายนิพิฏฐ์กล่าวต่อว่า สำหรับการสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ก็คงขอกำกับดูแลในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ โดยเป็นสส.บัญชีรายชื่อ และคาดว่าในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2565 จะมีความชัดเจน ทั้งนี้ การไปอยู่สังกัดพรรคการเมืองใหม่ ได้ทำใจไว้แล้วว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน เพราะการไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่สามารถคาดเดาได้
“แต่เมื่อไปอยู่ที่ใหม่ก็ต้องให้ความภักดีกับพรรคการเมืองที่ตัวเองไปสังกัดอยู่ และก็สู้กันตามแนวทางทางการเมืองแบบนักกีฬา และผมไม่ได้เชิญสมาชิกคนใดให้ไปด้วย แต่หากใครเห็นว่าผมเป็นนักการเมืองที่ดี และอยากจะตามมาด้วยก็สามารถมาหารือกันได้”
1) “คมชัดลึก” รายงานว่า หลังเข้ากราบลานายชวนหลีกภัย นายนิพิฏฐ์ ย้ำว่า ผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก ครั้งนี้ถือเป็นสงครามครั้งสุดท้าย จะไปตายในสนามรบ หรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อ ตั้งใจไปแล้ว ก็ต้องจงรักภักดีต่อพรรคใหม่ เคยสู้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร จะสู้กับพรรคใหม่เป็น 2 เท่า และไม่กังวลว่า จะต้องสู้กับพื้นที่เดิมที่สร้างมากับมือ เพราะเปรียบเหมือนนักกีฬาที่ย้ายค่าย ก็ต้องสู้ตามกฎกติกา
“ผมไม่ได้มีการโทรเคลียร์ใจ กับ กรรมการบริหารพรรค เพียงแต่โทรลาผู้ใหญ่ในพรรค แต่ไม่ได้พูดคุยกับ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คุยกันเพียงประมาณ 2 ครั้ง”
พร้อมยอมรับว่า “จุดแตกหักที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากพรรคในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนตัว ผู้สมัคร สส. จังหวัดพัทลุง ทั้งที่เตรียมผู้สมัครไว้แล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบ แต่ไม่มีการแจ้ง จึงคิดว่า ไม่มีประโยชน์กับพรรคในตอนนี้แล้ว อยู่ไปจะสร้างความเสียหายให้พรรคมากกว่า เพราะอยู่ไปอาจจะพูดอะไรที่ไม่ตรงกับนโยบายของพรรคอาจมีปัญหา จึงตัดไฟแต่ต้นลมให้พรรคเดินหน้าต่อไปได้
พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผมก็อยู่ได้” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน นายนิพิฏฐ์ ตอบด้วยท่าทีอึกอัก และมีน้ำตาคลอ
2) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองหัวหน้าพรรค ได้เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อกล่าวอำลาในการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์
โดย นายชวน ได้ย้ำให้นายนิพิฏฐ์ ที่เพิ่งลาออกและมากราบลา ว่า ให้ยึดอุดมการณ์ ซื่อสัตย์ สุจริต ยอมรับว่าเสียดาย ที่เสียมือกฎหมายของพรรคไป เพราะเป็นคนทำงานและยึดมั่นอุดมการณ์ จึงได้ให้กำลังใจนายนิพิฏฐ์ ไปว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องยึดมั่นในสิ่งที่เคยปฏิบัติมา และพรรคให้โอกาส กับนักการเมือง ที่ไม่ว่าใครจะดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองก็ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว เกียรติภูมิของพรรค เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นจุดเด่นของพรรคที่นายนิพิฏฐ์นำไปปฏิบัติต่อไป และขอให้กำลังใจในการทำงานการเมืองในวันข้างหน้า
“การเสียนายนิพิฏฐ์ไปจากพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นการเสียบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ในฐานะมือกฎหมายของพรรค แต่ก็ทราบว่าการตัดสินใจของนายนิพิฏฐ์ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นสมาชิกพรรคมาค่อนชีวิต และเชื่อว่าคงจะไประงับยับยั้งอะไรไม่ได้แต่เชื่อว่าหากยังยึดแนวทางการเมืองสุจริตก็จะสามารถเป็นประโยชน์แก่พรรคการเมืองนั้นได้” นายชวน กล่าว
นายชวนกล่าวด้วยว่า ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะนัดพูดคุยกับกรรมการบริหารเพื่อปรับความเข้าใจป้องกันคนเก่าลาออกอีกหรือไม่นั้น ปกติตนไม่มีส่วนในกรรมการบริหาร แต่สมาชิกส่วนใหญ่ก็ผูกพันกันตั้งแต่ต้น กว่าจะสร้างคนโดดเด่นเป็นกำลังให้พรรคไม่ใช่เรื่องง่าย เวลา
สูญเสียคนเหล่านี้ไปก็เสียดาย แต่ก็ขอให้กำลังใจนายนิพิฏฐ์ และสมาชิกพรรคที่ยังอยู่ก็ให้ทำงานต่อไป
3) ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจากพรรคว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภายในพรรคหรือไม่ว่า ตนเองได้ทราบเรื่องนี้จากข่าว และมั่นใจว่าคนที่อยู่ในพรรคจะยึดมั่นในอุดมการณ์และคนส่วนใหญ่ยังเหนียวแน่นกับพรรค และพรรคจะยังเดินหน้าไปได้ และขณะนี้พรรคเดินหน้าไปได้ด้วยดี แม้จะมีอุปสรรคบ้าง ก็ต้องฟันฝ่าไปและคนในพรรคก็ต้องจับมือกันเดินไปข้างหน้า ดังนั้น กรณีนี้จึงไม่ขอพูดถึง แต่เชื่อว่าโดยภาพรวมประชาชนแยกแยะได้ว่าผู้ที่ลาออกไป เป็นปัญหาอุดมการณ์เหนือปัญหาส่วนตัว
ส่วนกรณีที่นายนิพิฏฐ์ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำรองนายกรัฐมนตรี ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ที่พรรคให้รองจากตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่การแข่งขัน
ชิงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ที่มีนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สส. นครศรีธรรมราชนั้นทุกอย่างเป็นไปตามกติกาของพรรค หากมีคนลงสมัครเพียงคนเดียว พรรคก็ต้องมีการลงมติรับรอง แต่เมื่อมีผู้สมัครสองคน ก็ต้องมีการโหวตเพื่อเลือกตามระเบียบของพรรค
ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งช่วงตกต่ำและรุ่งเรืองจนล่าสุดตนเองเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคมี สส. 50 เสียง จาก 159 เสียง ก็ถือว่าได้น้อยลงมา ดังนั้น เมื่อตนเองเข้ามาก็พยายามทำหน้าที่ รวบรวมสรรพกำลังทั้งหลายเพื่อฟื้นฟูพรรค ซึ่งมองว่าวันนี้พรรคค่อยๆ ดีขึ้น พร้อมยืนยัน พรรคประชาธิปัตย์ มีทั้งคนเก่าและคนรุ่นใหม่เข้ามา ดังแคมเปญของพรรค เลือดใหม่ไหลเข้า เลือดเก่าไหลกลับ
4) “ไทยโพสต์” รายงานว่า แหล่งข่าว พูดถึงนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ว่า นายนิพิฏฐ์ แม้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี (ประจำนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์) ซึ่งมีโต๊ะทำงานอยู่ที่ชั้น 4 ตึกบัญชาการ แต่นายนิพิฏฐ์ยังไม่ลาออกจากตำแหน่งนี้ ยังรับเงินเดือนเต็มๆ ทั้งนี้ตำแหน่งสูงสุดที่นายนิพิฏฐ์ เคยได้รับคือเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็น สส.ประชาธิปัตย์ ยุคนั้นที่มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรีโดยพรรคจัดสรรให้ และได้เป็นก่อนคนอื่น
“เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะให้อะไรกับพรรคแต่คิดเล็กคิดน้อยคิดทุกเมื่อเชื่อวันว่าพรรคจะให้อะไรกับตนเอง และไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้รับทั้งที่เกินหน้าคนอื่นทุกครั้งและมักจะใช้การเคลื่อนไหวทางการเมืองกดดันพรรค ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ได้ไปแล้ว ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีก็ได้ พอสอบตกก็ไปโกรธ ไม่รู้โกรธนายอภิสิทธิ์ ด้วยหรือไม่ที่เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น”
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะเดียวกัน ก็ได้ประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนเมื่อกลางปีย้อนดูข่าวทุกคนก็จำได้เสิร์ชกูเกิ้ล ยังเจอว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดพัทลุงแล้ว เมื่อประกาศเช่นนั้น พรรคก็ตั้งคัดสรรคนลงเมื่อมีคนจะลงแล้วจะมาน้อยเนื้อต่ำใจมันเป็นความยุติธรรมต่อสถาบันพรรคหรือไม่ การจะไปร่วมอุดมการณ์กับพรรคการเมืองอื่นก็ควรประกาศเจตนารมณ์ตรงไปตรงมาต่อประชาชนไม่ใช่ยกตนให้เด่นดีมีอุดมการณ์ ปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดกล่าวหาพรรค
“นายชวน หลีกภัย ไม่ห้ามสักคำ แม้จะพูดว่าห้ามไม่ทันนั้นก็เป็นคำที่สุภาพที่สุดแล้ว การออกมาพูดทุกวันโพสต์รายวันแล้วบอกว่าไม่อยากทำให้พรรคเสียหาย การกระทำก็สวนทาง วันนี้สิ่งที่ควรพูดคือจะไปสังกัดพรรคอะไรกันแน่ของกรณ์ หรือ กลุ่มสนธิรัตน์ พูดไปให้ชัด และไม่ควรมาพูดถึงประชาธิปัตย์อีกต่อไป” แหล่งข่าวระบุ
จนนายนิพิฏฐ์ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คลอยๆ ว่า “ดาบหนึ่งจะไม่มาจากผม ผมจะชักดาบสองเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น แต่ถ้ายังไม่หยุด ดาบสามจะเสียบที่หัวใจคุณ”
5) อันที่จริง นายนิพิฏฐ์พูดชัดมากเรื่องการลาออก ว่าเกิดจากการไม่ให้เกียรติกันเรื่องคัดตัวคนลงสมัครในพื้นที่เดิม และผิดข้อตกลงกัน ซึ่งคนในพรรคประชาธิปัตย์ไม่พูดประเด็นนี้ แต่เบี่ยงไปโจมตีนายนิพิฏฐ์ในประเด็นอื่น ยิ่งหากดูการบอกลาของนายนิพิฏฐ์ในไลน์กลุ่มประชาธิปัตย์ ยิ่งเห็นความระมัดระวังบางอย่าง ดังข้อความว่า
“ถือโอกาสนี้ อำลาทุกท่าน ไม่สามารถกล่าวลาเป็นการส่วนตัวได้หมดขอใช้พื้นที่นี้อำลา ผมอยู่ในพรรคมา 29 ปี ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ รักพรรคสุดหัวใจ รักพี่น้องทุกคนที่เคยร่วมรบกันมาเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ขอกล่าวถึงสาเหตุการออกจากพรรคเพราะไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว พูดไปก็จะสร้างความเสียหายให้พรรคมากกว่า
ผมมีความอดทนน้อยกว่าทุกท่าน ขอให้ทุกท่านอดทนรักษาพรรคต่อไป วันที่ผมเดินออกจากพรรค ทุกท่านสามารถพูดถึงผมในแง่ใดก็ได้ ผมจะไม่ตอบโต้ เพราะเข้าใจดีว่า ท่านต้องทำเพื่อรักษาพรรค เคยคิดว่าจะออกไปชั่วคราวแล้วจะกลับมาฟื้นฟูพรรค แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกลับมาแล้ว คลื่นลูกใหม่จะทับถมจนเรากลายเป็นคลื่นลูกเก่าไปแล้ว กลับมาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว การออกไปครั้งนี้จึงเป็นการออกไปทำสงครามครั้งสุดท้ายแล้ว
ผมอาจพ่ายแพ้และจบชีวิตทางการเมืองตลอดกาลผมไม่เรียกร้อง เชิญชวนพวกเราให้ออกตามไป เพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้ามีอุปสรรคอีกเยอะ พวกเราอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ขอให้รักษาพรรคต่อไป หากจะขอพวกเรา ขออย่างเดียวคือ อย่าหาว่าผมไม่รักพรรคผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ผมถูกฟ้อง ถูกแจ้งความดำเนินคดี 13 คดี ชนะคดีไปแล้ว 12 คดี เหลือ
คดีสุดท้าย เป็นคดีหมิ่นประมาท พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง ผมจะมอบตัวต่อพนักงานอัยการในวันที่ 14 ธันวาคม นี้ เป็นคดีที่ผมวิวาทะกับโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เหตุเกิดเมื่อปี 2556 ถือเป็นคดีสุดท้ายที่ผมทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ถือโอกาสนี้ กล่าวอำลาทุกท่าน และขอออกจากไลน์พรรคประชาธิปัตย์”
สรุป : เรื่องนี้ควรจบเพียงบอกลาและแยกย้ายกันไป ไม่ควรชักดาบมาประดาบให้เลือดตกยางออกกันอีก เพราะไม่มีใครในสองฝ่ายนี้ได้ประโยชน์ใดๆ เลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี