ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย และคำตอบโต้ขององครักษ์ “ลุงตู่” แล้ว อดอุทานอยู่ในใจไม่ได้ว่า “มีฝ่ายค้านห่วยๆ ก็เป็นหนึ่งในความซวยของประเทศ”
1) พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ “ก้าวข้ามฝันร้ายและคราบน้ำตา 2564 สู่ความหวังและชีวิตใหม่ 2565” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
ความล้มเหลวผิดพลาดบกพร่องซ้ำซากของรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตลอดปี 2564 ทำให้ชีวิตและลมหายใจของประชาชนตกอยู่ภายใต้วิกฤตที่หนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ หยาดน้ำตาและเสียงสะอื้นของพี่น้องประชาชนดังระงมไปทั่วทั้งแผ่นดิน รัฐบาลไร้ศักยภาพ ประมาท และหละหลวม ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่รับฟังเสียงประชาชน ประเมินสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผิดพลาด นำมาซึ่งการบริหารจัดการที่ล้มเหลว จนโรคแพร่ระบาดขยายวงกว้าง ระบบสาธารณสุขประเทศล่มสลาย ทำลายชีวิตผู้คน คนไทยต้องตายคาบ้าน ตายกลางถนน ตายข้างถนน ไม่มีแม้โอกาสได้เข้าสู่ระบบการรักษาตามสิทธิที่พึงมี อีกทั้งยังยกระดับวิกฤตสุขภาพสู่วิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการรุนแรงแบบหว่านแห สร้างภาระให้ประชาชน เศรษฐกิจหยุดชะงัก ประชาชนต้องตกงาน ขาดรายได้ สิ้นเนื้อประดาตัวอดอยาก จนประเทศต้องตกอยู่ในห้วงของฝันร้ายกลียุค
แถลงการณ์ ระบุว่า การระบาดใหม่ของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่เกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้ รัฐบาลยังคงมีวิธีคิดราว “ชีวิตและลมหายใจประชาชนเป็นของเล่น” สบประมาท “โควิดกระจอก” ย่ามใจไม่เตรียมพร้อม กำลังจะพาพี่น้องประชาชนต้องไปเผชิญชะตากรรม และจมอยู่กับวิกฤตเศรษฐกิจไม่รู้จบ ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ที่ผ่านมารัฐบาลผลาญงบประมาณแผ่นดินมหาศาลไปกับการเยียวยาฟื้นฟูที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งยังนำเงินในอนาคตของประชาชน ไปสร้างมหกรรม “แจกเทกระจาด” แฝงการเอื้อประโยชน์พวกพ้อง และส่อว่าอาจจะหาประโยชน์ทางการเมือง เงินกู้มหาศาลถูกใช้จ่ายไปอย่างไร้ค่าทิ้งไว้เพียงภาระหนี้สินประเทศชาติและประชาชน “ขโมยเงินอนาคตและโอกาสของประชาชน” ไปจนหมดสิ้น
“ความรุนแรงจากวิกฤตโรคระบาด ร้ายแรงไม่น้อยกว่าความรุนแรงจากรัฐคลั่งอำนาจ ตลอดปี 2564 มีการใช้อำนาจและกฎหมายที่บิดเบือน กลั่นแกล้ง คุกคามประชาชนอย่างรุนแรง ประชาชน นิสิต นักศึกษา ทั้งที่ออกมาเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มุ่งหวังการคืนประชาธิปไตย หรือแม้แต่ประชาชนที่ออกมาสะท้อนความเดือดร้อนจากนโยบายรัฐเช่น พี่น้องจะนะรักษ์ถิ่น กลับถูกใช้กำลังความรุนแรงเข้ากดปราบและดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม มองประชาชนเป็นปฏิปักษ์และภัยต่อความมั่นคงที่รัฐจะต้องกำจัด”
แถลงการณ์ ระบุอีกว่า ความย่อยยับตลอดปี 2564 มีเหตุแห่งปัญหามาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความยากลำบากของประชาชน ไม่รับฟังเสียงสะท้อนและผลกระทบ อันเป็นผลโดยตรงจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บิดเบือนกลไกประชาธิปไตย ช่วงชิงอำนาจรัฐบาลห่างไกลจากประชาชน นายกรัฐมนตรีไม่ต้องได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน แต่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของ สว.ที่ไม่ได้มาจากประชาชน รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจาก สส.ปัดเศษและงูเห่า ถูกจัดตั้งขึ้นได้โดยไม่คำนึงถึงประชาชนว่าได้ลงมติไว้วางใจให้เข้ามาบริหารประเทศหรือไม่
พรรคเพื่อไทยซึ่งมีตัวแทนอยู่ทั่วประเทศรับฟังเสียงสะท้อนและปัญหาของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ สำนึกต่อความสำคัญของพี่น้องประชาชน “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคมและประชาชน” คืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รับฟังและดำเนินนโยบายโดยคำนึงถึงประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตโรคระบาดที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ ควรศึกษาบทเรียนความผิดพลาดที่ผ่านมาเพื่อปรับปรุงมาตรการ ระมัดระวัง ป้องกันและเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขเพื่อรองรับปัญหาบรรเทาสถานการณ์ไม่ให้เกิดความสูญเสียและวิกฤตซ้ำรอยเดิมอีก
“พรรคเพื่อไทย ตระหนักเสมอว่าเราและพี่น้องประชาชนคือสมาชิกครอบครัวเดียวกัน ในวิกฤตที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเรา เราจึงเข้าใจ เห็นใจและช่วยเหลือกันให้รอดพ้นจากวังวนของปัญหาไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นในปี 2565 เราจะเดินหน้าคืนความหวังความฝันของคนทุกวัย ทุกฐานะ ทุกวิถีชีวิตที่ฝันถึงความเป็นอยู่ที่ดีและสานฝันเหล่านั้นให้เป็นจริง
เราจะมุ่งไปสู่หนทางของเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู พี่น้องคนไทยจะกลับมามีความหวังถึงการทำงานที่ดีและการมีรายได้ที่ดี เราจะหลอมรวมผู้คนเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีอนาคตที่ดี
เราจะทำทุกวิถีทางที่จะสนับสนุนผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ทวงคืนอำนาจของประชาชนเพื่อเปลี่ยนอนาคตให้ประชาชน และจะรวมพลังประชาชนเพื่อมุ่งไปสู่ความหวังที่จะเปลี่ยนรัฐบาล คืนรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทยเพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อผ่านวันนี้ไป พรุ่งนี้จะมีความสุขความสำเร็จกลับมาอีกครั้ง พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน” แถลงการณ์ฯ ระบุ
2) ต่อมานายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ออกมาตอบโต้ว่า นายกฯมาถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาจากประชาชน และจะต้องบริหารบ้านเมือง อยู่จนครบเทอม 4 ปี
อีกทั้งที่ผ่านมานายกฯได้ทำงานแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศมาตลอด รวมถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 แม้จะมีความยากลำบากแต่นายกฯและรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาจนสถานการณ์คลี่คลายลง ผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตลดลง ซึ่งทำควบคู่ไปกับการเยียวยาประชาชน จนทำให้เป็นที่น่าพอใจ เห็นได้จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ ยังเชื่อมั่นในตัวนายกฯอยู่ อยากให้นายกฯบริหารงานต่อ ดังนั้น ขอให้พรรคเพื่อไทยมองรอบด้านมากกว่านี้ อย่าพูดเอาแต่ตัวเองหรือพรรคตัวเองเท่านั้น
และที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าจะขอเป็นความหวังให้กับคนไทยทุกคนนั้น ตนมองว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาความหวังอะไรไปให้ประชาชน เพราะไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชนเลย ยกเว้นนายใหญ่ 2 คนที่หลบหนีคดีไปเสวยสุขในต่างประเทศ นอกจากนี้วันๆ มีแต่กล่าวหาโจมตี คนอื่นที่ทุ่มเทตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ได้แต่เอาความคิดที่มีอคติของตนเอง ออกมาพูดมากจนอาจสร้างกระแสความแตกแยกมากกว่า แทนที่จะช่วยกันพูดให้บ้านเมืองเกิดความรัก สามัคคีปรองดองของคนในชาติ
“ผมมองว่าสิ่งที่คนไทยอยากได้เป็นของขวัญปีใหม่มากกว่าคือ นายกฯอยู่ต่อจนครบเทอม และกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย สำนักโพลล์ทุกสำนักประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป”
และว่า พรรคเพื่อไทยควรหยุดเคลื่อนไหวกล่าวหาโจมตีนายกฯและรัฐบาล และหยุดช่วยเหลือนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีไปเสวยสุขในต่างประเทศ เอาเวลาไปให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในฐานะสส.ผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่ของนายใหญ่และนายหญิง
ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ จำนวนมากกว่า คงไม่อยากให้นายกฯลาออกแน่นอน แต่ที่อยากได้ของขวัญปีใหม่มากที่สุดคือ อยากให้นายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ หยุดพูดมาก หยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว ซึ่งตนเองมองว่าคนที่มีสถานะหลบหนีคดีไม่ควรออกมาเชิดหน้าชูตาให้คนในประเทศได้เห็น ประชาชนเขารู้ทัน เขาไม่เอาด้วย
“หากอยากกลับประเทศจริงๆ ให้มาตามกระบวนการของกฎหมาย มารับโทษ อย่ารอปาฏิหาริย์นั่งเทียนคิดเอาเองว่าคนของพรรคเพื่อไทยจะช่วยได้ เพราะพรรคเพื่อไทยยังเอาตัวไม่รอด มีปัญหาในพรรคมากมาย อีกหน่อย สส.ในพรรคก็จะไหลออกหมดแล้ว คงไม่เหลือคนที่มีคุณภาพอยู่ในพรรค เพราะจุดยืนอุดมการณ์ไม่ได้ยึดมั่นเพื่อประชาชนจริง แต่เพื่อนายใหญ่ นายหญิงและเพื่อคนในครอบครัวตระกูลเดียว มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้ทันพรรคเพื่อไทย ดังเช่นนี้บ้าง” นายเสกสกล กล่าว
3) ในความเห็นผม คราวนี้ เสกสกล ตอบโต้ได้ดี และไม่ประจบนายจนโอเว่อร์เหมือนที่เคย ขณะที่แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย “มีปัญหา” และ “หย่อนปัญญา” จริงๆ
4) ในความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอให้คนหันมานิยมชมชอบ แม้กระทั่งการทำหน้าที่ตรวจสอบก็ “ไม่เก่ง” และ “แถไถ” ไปเรื่อยเปื่อย บวกกับเจตจำนงในการเป็นพรรค ก็สาละวนอยู่กับตระกูลชินวัตรเสียจน “ไม่มีจุดขาย” จะหาดีหรือหาเสียงทีไร ก็ต้องย้อนกลับไป “เชิญป้ายวิญญาณทักษิณ” กลับมาขาย มีแต่อดีต ไม่มีปัจจุบัน และไม่เห็นอนาคต
5) ขณะที่ทักษิณเองก็แผลเป็นเหวอะหวะทั่วตัว และมุ่งทำการเมือง “เอาแต่ได้” ดังนั้น ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดูไม่ฉลาดปราดเปรื่อง พูดไม่เก่ง บุคลิกเป็นได้แค่ ผบ.ทบ. ก็เถอะ แต่เจตจำนงในการทำงาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่มุ่ง “ปอกลอก/ยักยอกประเทศ” พรรคเพื่อไทยจึงควรทำหน้าที่ตรวจสอบให้เป็นมืออาชีพ และสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทน “ทักษิณ” บ้าง
6) อย่างแถลงการณ์ที่ออกมานี้ ก็สาละวนอยู่กับเรื่องเก่าๆ โดยเฉพาะเรื่องโรคระบาด เรื่องวัคซีน ที่ในที่สุด รัฐบาลก็ฉีดได้ครอบคลุม และนำพาบรรยากาศอึมครึมมาสู่ความคลี่คลาย จนกระทั่งเกิดสายพันธุ์ใหม่ คือ โอมิครอนเข้ามาระบาด การใช้ถ้อยคำโอเว่อร์ประเภท “ระบบสาธารณสุขประเทศล่มสลาย” การติติงที่เอาแต่ความหนำใจ ทำให้ “ราคา” ของการ “ค้าน” พลอย “ต่ำ” คือ ยิ่งโก่งราคาด่ามาก ราคายิ่งตก ดังนั้น กรุณาตรวจสอบอย่างมีสติ แล้วสังคมจะฟังโดยไม่ส่ายหัวใส่ เพราะในความเป็นจริง ระบบสาธารณสุขไทยยังคงได้รับการยกย่องเป็นอันดับต้นๆ ของโลกและจะใช้คำใด ให้นึกถึงคนทำงานที่เขาแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนในระบบสาธารสุขบ้าง การเมืองก็เรื่องการเมือง แต่ “คนทำงาน” เขาอยู่นอกการเมือง เขาเหนื่อยแทบขาดใจตาย มาเจอคำเฮงซวยว่า “ระบบสาธารณสุขประเทศล่มสลาย” มันไม่ดูถูกหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และคนที่เกี่ยวข้อง เกินไปหน่อยหรือ?
7) การใช้คำว่า “มีการใช้อำนาจและกฎหมายที่บิดเบือน กลั่นแกล้ง คุกคามประชาชนอย่างรุนแรง ประชาชน นิสิต นักศึกษา ทั้งที่ออกมาเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มุ่งหวังการคืนประชาธิปไตย” นี่โง่บรมโง่ เอียงโคตรเอียง และหาเสียงชัดๆ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเพิ่งสรุปไปว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้น เป็นการใช้สิทธิเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต ศาลเพิ่งวินิจฉัยไปว่า วิธีการแสดงออกและการเคลื่อนไหวหลายอย่าง เข้าข่าย“ล้มล้างการปกครอง” การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพนั้น ไม่ผิดหรอก แต่ “วิธีการที่ใช้” พรรคเพื่อไทยควรรู้จัก “ซื่อตรง” กับหลักการและวิธีการบ้าง ไม่ใช้ให้ท้าย บิดเบือน เพียงเพื่อหวังจะได้คะแนนนิยม
8) แต่ก็นั่นแหละ จะไปหวังอะไรกับพรรคเพื่อไทย ที่ครั้งหนึ่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้มวลชนที่สนับสนุนตนเองแท้ๆ ต้องตายอย่างไม่ได้ความยุติธรรม ตัดขาดการค้นหาความจริง ปิดประตูศาล คดีไหนเข้าสู่ชั้นศาลแล้วให้เลิกพิจารณา ครอบครัวคนเจ็บคนตายไม่ต้องรู้หรอกว่า ใครทำให้คือฆาตกร แล้วยัดไส้นิรโทษกรรมแกนนำ ซึ่งมานั่งหน้าสลอนเป็น สส.อยู่ในพรรคเพื่อไทย หนักสุดคือยัดไส้การนิรโทษกรรมคดีทุจริตเข้าไปด้วย เฮงซวยปานนี้ จะหวังให้ดีขึ้นทันใด ก็ดูจะหวังมากไป
9) คำว่า “นายกรัฐมนตรีไม่ต้องได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน แต่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของ สว. ที่ไม่ได้มาจากประชาชน” นี่ก็เป็นการ “บิดเบือนชั้นเลว” นายกฯได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองตั้งแต่ก่อนลงคะแนนเลือกตั้ง เมื่อถึงวันโหวตในสภา ก็ได้รับคะแนนโหวตครบถ้วนตามกติกา หักเสียง สว.ออก ก็ยังชนะ ได้เป็นนายกฯ อาการ “ขี้แพ้ชวนตี”ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เสนอชื่อ “คนของตัวเองแข่งด้วย” ไปเสนอชื่อหัวหน้าพรรคที่คะแนนน้อยกว่าจากการเลือกของประชาชน มันถูกต้องกว่า ดีกว่ายังไง? ก็เหมือนสมัยที่เสนอชื่อคนจากพรรคเล็ก แข่งกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ พรรคนี้ไม่มีคนที่ดีพอจะเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ทั้งสองครั้งเลยเหรอ แล้วประชาชนจะทุ่มเทคะแนนเลือก ให้มีคะแนนมากกว่าพรรคอื่นทำไม ตอบสิ!! ต่อไปประชาชนจะเชื่อใจได้ยังไง ว่าเลือกพรรคเพื่อไทย แล้วจะไม่เสนอชื่อคนในบัญชีของตัวเองเป็นนายกฯ นี่มัน “ทรยศประชาชน” ชัดๆ
11) กระนั้นก็ตาม ในแถลงการณ์ก็มีสิ่งที่ท้วงติงได้ถูกและดีเจืออยู่ด้วย แต่เมื่อเจอประเด็นโอเว่อร์ ทำให้ความจริงเหล่านั้น “ด้อยค่า” ลงไปทันที ผมจึงต้องบอกพรรคเพื่อไทยให้มี “สติดีๆ” ตรวจสอบอย่างพอดีๆ และลดอาการ “ขี้ข้า” ลงมา ให้เห็นว่าหัวพน้าพรรคคนปัจจุบัน และกรรมการบริหารพรรค คิดเอง เป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เอง โดยไม่มี “คนนอก” เข้ามาควบคุมบงการ ที่ต้องพูดอย่างนี้ เพราะ อ่านบทความเรื่อง “หล่อเลือกได้ “วิฑูรย์ นามบุตร” รอปิดดีล 3 พรรค ขอเจรจาโทนี่”ในคอลัมน์ท่องยุทธภพ โดยขุนน้ำหมึก คม ชัด ลึก แล้ว เกรงว่าหาก กกต. ใส่ใจจะตรวจสอบ พรคเพื่อไทยจะถูกยุบเอาเสียก่อน โดยเฉพาะข้อความในตอนที่บอกว่า
“...กรณีพรรคเพื่อไทย วิฑูรย์ได้ไปเจอกับเกรียง กัลป์ตินันท์แม่ทัพใหญ่ภาคอีสานที่บ้านพักด้วยตัวเอง เกรียงยินดีต้อนรับตระกูลนามบุตร และรับข้อเสนอเรื่องบัญชีปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ได้เป็น สส.แน่นอน (คาดว่า เพื่อไทยจะได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ประมาณ 40 คน)
...วันนั้น เกรียงยังต่อสายหาโทนี่ วู้ดซั่ม ที่อยู่นครดูไบให้พูดคุยกับวิฑูรย์โดยตรง ซึ่งโทนี่ก็รับปากจะดูแลเรื่องข้อเสนอให้แต่เพื่อความมั่นใจ วิฑูรย์บอกต้นปี 2565 จะไปเที่ยวงานเอ็กซ์โป 2020ที่ดูไบ ก็จะขอพบโทนี่เพื่อเจรจาเรื่องนี้ให้จบ...”
เสกสกล ควรดำเนินการร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ แทนที่จะหยุดอยู่แค่การ “โต้วาที” ออกสื่อ
สรุป :: พรรคเพื่อไทย นานวันยิ่งดูไร้ประสิทธิภาพ ประเทศชาติมิอาจพึ่งหวังให้ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ในฐานะ “มืออาชีพ” สาละวนอยู่กับการ “เล่นการเมือง” ประดิษฐ์วาทกรรมเกินจริง เลือกโฆษกเบาปัญหามาสื่อสาร เน้นอคติมากกว่าสติ จึงขาดความแหลมคม และความเห็นพ้องด้วยของสังคมส่วนรวม ตีกินได้เฉพาะในหมู่กองเชียร์ของตัวเอง ที่ก็ สุดโต่ง” พอๆ กัน
เพื่อไทย โดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ควรปฏิรูปพรรค ลดความรู้สึกว่าเป็น “หุ่นเชิด/ขี้ข้า”มาสู่การหาบุคลากรที่ “พอดี/มีความรู้/มีตรรกะเหตุผล” มาออกหน้า เพื่อให้คนรู้สึกว่า พอจะเป็นที่พึ่งที่หวังได้บ้าง โดยต้องเริ่มจากหมอชลน่านเอง...เป็นคนแรก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี