ตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งมาจนถึงบัดนี้เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยของเรามีความแตกแยกแตกสามัคคีและทะเลาะเบาะแว้งกันและกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ และทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจสูญเสียเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติด้วย
นักการเมืองฝ่ายต่างๆ ได้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นกลไกในการกล่าวหาว่าร้าย ในการสร้างประเด็นที่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างกว้างขวางที่สุด
และแน่นอนว่ามีการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจากหลายหน่วยงานในการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการทางโซเชียลมีเดียหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า IO เป็นจำนวนมาก อาจจะมากเท่าๆ กับงบประมาณหลายกรมในกระทรวงต่างๆ ซึ่งสักวันหนึ่งถ้าตัวเลขเหล่านี้ได้รับการรวบรวมอย่างครบถ้วนแล้ว คนไทยทั้งประเทศอาจต้องตื่นตระหนกตกใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีการระดมเอาผู้คนในสาขาต่างๆ เข้าไปเป็นหน่วยปฏิบัติการIO เหล่านี้ ดังนั้น เมื่อจำนวนเงินมากขึ้นเท่าใด มีคนปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด ผลที่เกิดขึ้นก็คือความระส่ำระสายในบ้านเมือง ความแตกแยกแตกสามัคคีที่ยกระดับรุนแรงขึ้นชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในกระบวนการ IO นี้ ได้ปฏิบัติการในหลายรูปแบบ และรูปแบบหนึ่งได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม และในการสร้างเกราะกำบังให้แก่นักการเมืองบางฝ่าย นั่นคือการใช้ IO โดยแอบอ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อปกป้องฝ่ายการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
การใช้ IO แบบนี้ในที่สุดคนจำนวนมากก็จับได้ไล่ทัน จึงเรียกขาน IO ประเภทนี้ว่า IO โหนเจ้า
IO โหนเจ้าทำอะไรบ้าง และแนวทางการใช้ IO ของพวกนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถึงเวลาที่ประชาชนจะได้ทำความรู้จักเพื่อจะได้ไม่หลงเป็นเครื่องมือ และจะได้เห็นว่าขบวนการ IO ประเภทนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงการโหนเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง และยังมีผลร้ายติดตามมาอย่างร้ายแรงด้วย นั่นคือการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง กล่าวคือ
ประการแรก IO ประเภทโหนเจ้าจะนำเสนอเรื่องราวเป็นฝ่ายจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะเดียวกัน ก็จะกล่าวหาว่าร้ายด่าว่าอย่างหยาบคายแก่ฝ่ายที่มีความเห็นต่างกับฝ่ายการเมืองที่สนับสนุน
ประการที่สอง จะสร้างประเด็นความแตกแยกแตกสามัคคีอย่างจงใจ กล่าวหาว่าร้ายบรรดากรณีทั้งหลายที่ตำหนิติติงหรือไม่เป็นไปในทางสมประโยชน์ของฝ่ายการเมืองที่ตนเองสนับสนุน แล้วประณามว่าผู้ที่มีความเห็นต่างนั้นเป็นพวกชังชาติเป็นพวกชังเจ้า และเป็นพวกล้มเจ้า ทั้งที่เกือบทั้งหมดความเห็นต่างเหล่านั้นเป็นเรื่องทางการเมืองที่ไม่สมประโยชน์ของฝ่ายการเมืองที่สนับสนุนเท่านั้น
วิธีการในประการนี้ออกอาการหนักถึงขั้นขับไล่ไสส่งผู้ที่มีความเห็นต่างให้ไปอยู่ต่างประเทศ หรือไม่ก็คุกคามไปแจ้งความดำเนินคดีอิงอำนาจรัฐเพื่อกำจัดผู้ที่มีความเห็นต่างเหล่านั้น เป็นการผลักไสผู้ที่มีความเห็นต่างให้กลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสถาบัน
ดังกรณีหลังเลือกตั้งมีการกล่าวหาว่าประชาชนที่เลือกพรรคฝ่ายค้านเป็นพวกล้มเจ้า ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่คนจำนวนมาก และจำนวนไม่น้อยก็จำใจต้องไปสนับสนุนพวกล้มเจ้าจริงๆ ขึ้นมา ดังนั้นพวกนี้จึงเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสถาบันยิ่งกว่าพวกล้มเจ้าโดยตรง
เพราะพวกล้มเจ้าโดยตรงนั้นจะหาสมัครพรรคพวกได้ยาก เพราะประชาชนไทยทั้งประเทศมีความจงรักภักดีต่อสถาบันแนบแน่นยาวนาน จะไปเกลี้ยกล่อมให้เกลียดเจ้า ชังเจ้า หรือกลายเป็นพวกล้มเจ้าสุดแสนจะยากลำบาก
แต่การขับไล่ผลักไสให้กลายเป็นพวกล้มเจ้านั้นทำได้ง่ายกว่า จึงกล่าวว่าพวกนี้แหละที่เป็นอันตรายต่อสถาบันยิ่งกว่าพวกล้มเจ้าโดยตรง
ประการที่สาม IO จำพวกนี้จะพยายามสร้างค่านิยมให้กับตัวเองว่ามีความจงรักภักดีเหลือประมาณ อวดอ้างด้วยประการต่างๆ เช่น อ้างว่าแม้ในโรงภาพยนตร์จะเหลือตัวเองคนเดียวที่ยืนถวายความเคารพในขณะที่มีเพลงสรรเสริญพระบารมีก็พร้อมจะยืนด้วยความกล้าหาญ การใช้วิธีการเช่นนี้ก็คือการบอกกล่าวว่าสถาบันโดดเดี่ยว เหลือเพียงคนคนเดียวที่จงรักภักดี
ประการที่สี่ ไม่ว่าฝ่ายการเมืองที่พวกตัวสนับสนุนจะทำสิ่งใดก็เห็นดีเห็นงาม กระทั่งเมื่อหาเหตุผลใดๆ ไม่ได้ก็จะอ้างว่าเพราะมีความจงรักภักดี ดังนั้น บรรดาการทุจริตคอร์รัปชั่น บรรดาการประพฤติมิชอบ และการกระทำทั้งหลายที่ไม่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายกระทำ จึงถูกแอบอ้างว่าเป็นการทำไปเพราะความจงรักภักดี
การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกที่ไม่พอใจต่อสถาบัน โดยที่สถาบันไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นเลย
การกระทำเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายในเชิงบ่อนทำลายต่อสถาบันเป็นวงกว้าง จนผู้คนทั้งหลายอิดหนาระอาใจตามๆ กัน และในที่สุดหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคลเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง และศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณก็ได้เปิดตัวเป็นกลุ่มปกป้องสถาบัน ทำให้ผู้ที่มีความจงรักภักดีโดยทั่วไปตื่นตัวและรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ พากันไปเข้าร่วมกลุ่มกับ หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เป็นจำนวนมาก
ทำให้ขบวนการโหนเจ้าหวาดผวาที่ประชาชนรู้เท่าทัน จำนวนหนึ่งก็ถอนตัวหรือหยุดการกระทำนั้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ดื้อด้านไม่สนใจต่อความรู้เท่าทันต่อพฤติกรรมโหนเจ้าปกป้องฝ่ายการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องจับตาและกระชากหน้ากากขบวนการโหนเจ้าเหล่านี้เพื่อปกป้องประชาชนไม่ให้หลงเชื่ออีกต่อไป
โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่เคยได้ประโยชน์จากการใช้ขบวนการโหนเจ้าเหล่านี้ เวลาได้หมดลงไปแล้ว อย่าดื้อรั้นสนับสนุนอุ้มชูขบวนการโหนเจ้าเหล่านี้อีกต่อไป เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นหัวโจกของขบวนการโหนเจ้าเสียเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี