เคยได้ยินคนต่างด้าวที่ไปใช้ชีวิตอยู่รัฐต่างๆ ของประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะคนไทยบ่นว่าตั้งแต่โควิด-19 ระบาดคนต่างด้าวถึงแม้ได้สัญชาติเป็นพลเมืองออสเตรเลียแล้วก็ใช้ชีวิตแสนยากลำบากเพราะออสเตรเลียเข้มงวดเรื่องป้องกันโรคระบาดแต่ไม่ใส่ใจในการดูแลรักษา
รัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเมือง จำกัดการเคลื่อนไหว
ของพลเมืองแบบรัฐใครรัฐมันข้ามเขตชุมชน ข้ามหมู่บ้านตำบลกันไม่ได้ บางคนบ่นว่าเหมือนถูกผูกล่ามให้อยู่ในพื้นที่จำกัดรัฐบาลมีมาตรการควบคุมการเคลื่อนไหวโดยไม่ให้ความสำคัญกับการเยียวยาดูแลรักษา
ตอนแรกผู้เขียนเข้าใจไปเองว่าอาจเป็นนิสัยของคนไทยที่ต้องโวยวายเรียกว่า “เรื่องโวยวายต้องยกให้คนไทย เรื่องวินัยคนไทยไม่สน”
แต่เมื่อได้อ่านบทความพิเศษใน นสพ.เดอะการ์เดี้ยนในหัวข้อชื่อว่า “หรือสิทธิเสรีภาพของเราหมดไปเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจในภาวะฉุกเฉินเป็นบังเหียนควบคุมการใช้ชีวิตของพลเมือง”
เดอะการ์เดียนเปิดประเด็นว่า “ก่อนปี 2010 คุณคิดไหมว่า เราสำลักสิทธิเสรีภาพ สิทธิพลเมือง ที่ใช้ชีวิตในประเทศเสรีประชาธิปไตยราวกับว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือผู้คนของประเทศใดๆ ในภูมิภาคนี้
แต่ในทันทีที่มีโควิด-19 รัฐบาลใช้บังเหียนรัดพวกเราขึ้นมาถึงคอ รัฐบาลใช้อำนาจภาวะฉุกเฉินมากเกินไป อ้างว่าป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนา
แต่การใช้อำนาจเกินเหตุในประเทศเสรีประชาธิปไตยทำให้รู้สึกว่ารัฐควบคุมพลเมืองราวกับใช้บังเหียนรัดขึ้นมาถึงคอ (The bridle of government around our throat)
ชาวออสซี่ที่มีสิทธิพลเมืองเต็มที่ ในประเทศที่เรียกว่าเสรีประชาธิปไตย ใส่ใจเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ในทันทีที่พบว่าไวรัสโควิด-19 ระบาดรัฐต่างๆ ประกาศภาวะฉุกเฉินประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามข้ามเขตชุมชน จำกัดการเดินทางห้ามข้ามเขตระหว่างรัฐหากไม่มีใบอนุญาตผ่านแดน รัฐใช้กำลังตำรวจเป็นหมื่นเป็นแสนคน ตรวจสอบบังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคระบาดอย่างย่ามใจ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเมื่อคุณออกนอกบ้าน ถูกตำรวจสั่งให้หยุดตะคอกถามว่า “คุณออกจากบ้านกี่ชั่วโมงแล้ว และคุณจะไปไหน”
โดยเฉพาะพลเมืองที่ไม่ใช่คนผิวขาว (คนต่างด้าวที่ถือสัญชาติออสเตรเลียมักถูกเหยียดผิว) ที่อยู่ในชุมชนของพวกเขาในเมืองใหญ่ เมื่อออกจากชุมชนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นถูกปรับโดยการใช้ดุลพินิจบกพร่อง แล้วถามว่าคนออกจากบ้านไปไกลเกิน 5 กม. มั้ย?
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายทำให้พลเมืองอึดอัด ที่ต้องใช้ชีวิตยากลำบากและมีความรู้โกรธแค้นที่สิทธิส่วนบุคคล เสรีภาพสิทธิมนุษยชนถูกล่วงละเมิดอย่างร้ายแรง รัฐต่างๆ ได้ใช้มาตรการบังคับใช้อำนาจตามกฎหมายป้องกันโรคระบาดในภาวะฉุกเฉินนานเกินไป บังคับใช้เคอร์ฟิวอย่างเข้มงวด ใช้กฎหมายป้องกันโรคระบาดเป็นมาตรการบังคับให้ฉีดวัคซีน บังคับให้ใส่หน้ากากอนามัย แต่รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจในการดูแลรักษาเวลาที่ผู้คนป่วยไข้
มาตรการที่เข้มงวดทำให้พลเมืองรู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ละเมิดสิทธิมนุษยชนเกินจะรับไหว หากมีคนถามว่าการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเหล่านี้ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัวว่าจะติดไวรัสได้หรือไม่
ประเด็นนี้เลยกลายเป็นคำจำกัดความว่า “เราสามารถนิยามสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเมืองกันอย่างไร เราใช้วิธีพูดจากันอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนไปพร้อมกับการป้องกันไวรัสได้ไหม? เอาอย่างประเทศอื่นๆ ที่มีทัศนคติเรื่องสิทธิมนุษยชนมากกว่านี้ ประเทศออสเตรเลียใช้อำนาจในภาวะฉุกเฉิน จนกระทั่งคนจำนวนมากไม่พอใจพากันเดินขบวนประท้วงที่หน้าสถานกงสุลออสเตรเลียในนิวยอร์ก (สงสัยว่าประท้วงในออสเตรเลียไม่ได้เพราะค่าปรับแพงมาก)
และมีบทความใน นสพ.แอตแลนด์ต้ากล่าวว่า“ประเทศหนึ่งสามารถใช้อำนาจในภาวะฉุกเฉินนานเกินจนทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่าถูกสนตะพายยังเรียกว่าเราเป็นเสรีประชาธิปไตยได้หรือไม่
ผลของการประท้วงหน้าสถานกงสุลออสเตรเลียในนิวยอร์กและบทความใน นสพ.แอตแลนด์ต้า ทำให้คนที่อัดอั้นอยู่นานทะลักความเห็นออกมา ผู้สนับสนุนพรรคเลเบอร์กล่าวว่า “กฎหมายป้องกันโรคระบาดถูกนำมาบังคับใช้รุนแรงเกินไป”
ในขณะที่นักกิจกรรมทางการเมืองแอนดรู โบลท์ โจมตีรัฐบาลที่ไม่ยอมให้พลเมืองเดินทางจากอินเดียเดินทางกลับเข้าประเทศว่า “ถือเป็นการเหยียดผิวที่น่าขยะแขยงที่สุด (ต่อคนอินเดียที่ได้สัญชาติออสเตรเลีย) แอนดรู วิจารณ์ด้วยว่าประเทศออสเตรเลียได้ชื่อว่ามีเอ็นจีโอ มีภาคประชาสังคมมากที่สุดในภูมิภาคนี้ แต่เอ็นจีโอ เหล่านั้นไร้ความหมายมิได้มีปากเสียงเรียกร้องช่วยเหลือพลเมืองที่ถูกจำกัดสิทธิ์ถูกละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล ถูกละเมิดสิทธิมนุษชนอย่างร้ายแรง
นสพ.ซิดนีย์มอร์นิ่งเฮร์รอล พาดตัวไม้ว่า NGO missingin action เป็นวลีที่เคยใช้กับทหารอเมริกันที่หายสาบสูญไปในสงครามเวียดนาม
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติเข้าทำมาหากินได้ที่พักอาศัยได้สัญชาติและถูกนิยามให้เป็นออสซี่ไปโดยปริยาย ดังนั้น เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายใช้มาตรการใดๆ พวกออสซี่ใหม่จะตกเป็นเป้าหมายถูกทำร้ายก่อน
ได้อ่านเรื่องที่ออสซี่ผิวขาวด่ากันเองแล้วต่อไปอยากให้อ่านเรื่องที่คนออสซี่ที่ไม่ใช่ผิวขาวคือออสซี่ที่เป็นคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนในเฟซบุ๊ค ที่ไปแต่งงานมีครอบครัวอยู่ในนิวเซาท์เวลส์ (NSW) หลายสิบปีเธอเล่าให้ฟังว่า
“อยากให้คนไทยจะได้เข้าใจเรื่องราวว่ายังไง ประเทศไทยก็ยังแก้สถานการณ์ดีกว่า ซึ่ง คนออสซี่ เขาขี้ตกใจแก้อะไรไม่ถูก เรื่องบังคับให้ฉีดยา (วัคซีน) เราอยู่รัฐ NSW ค่ะ (นิวเซาท์เวลส์) ติดริมชายแดน จึงมีปัญหามากเลยคนที่มีความเจ็บไข้ รพ.ที่นี่รัฐนี้เครื่องมือไม่พอ เพื่อนสามี ต้องเอาเข้า รพ. ที่ QLD (ควีนส์แลนด์) แต่หลังผ่าตัดย้ายมาที่ใกล้บ้าน และถ้าภรรยา ต้องเยี่ยม ข้ามรัฐต้องกักตัวอีก ผู้คนจึงย้ายบ้าน ให้เพื่อนๆ บ้านคนละรัฐมานอนบ้านตนเอง และตนเองไปนอนบ้านเพื่อนเพื่อดูแลสามี ตอนนี้ยังไม่ย้ายกลับมา แต่เพื่อน คนไทย ลูกถูกเอาเข้ามารัฐเดิม NSW ที่อยู่แล้ว ลูกเข้ามาเยี่ยมไม่มีปัญหา
เธอนำข้อมูลจากเว็บไซต์ของรัฐ NSW ว่าของรัฐค่ะล่าสุด ผ่อนปรนมากขึ้น แต่ที่อยู่ๆติดเขตแดนระหว่าง nsw-qld(ควีนแลนด์) ทางรัฐ qld ห้ามไม่ให้ คนทาง nsw เข้า ถ้าเข้าต้องมีใบผ่านแดน ซึ่งถ้าไม่มี โดนปรับ ประมาณสองพันเหรียญ(ประมาณ 47,698 บาท) คนตกงาน แยกทาง ขายบ้าน ฆ่าตัวตาย เพิ่มหลายคนต้องขายบ้าน เพราะตกงาน ทุกคนบ่นกันมาก เพราะบางอย่างแก้ไม่ถูกจุด ของผู้นํา แต่ละรัฐ ทำกันเองมุขมนตรีของแต่ละรัฐออกกฎหมายมีมาตรการไม่เหมือนกัน
ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 25 พฤศจิกายนนักท่องเที่ยวในประเทศที่จะมารัฐวิกตอเรียไม่ต้องขอใบอนุญาตเดินทางเข้ารัฐอีกต่อไป ไม่ว่าจะมีสถานะการฉีดวัคซีนเช่นไรก็ตาม
คุณไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือมีใบอนุญาตเพื่อเดินทางเข้ารัฐวิกตอเรียหากมาจากรัฐอื่นหรือเขตการปกครองของออสเตรเลียเพื่อมาเยี่ยมเยียน ทำงาน เดินทางผ่าน หรือหากคุณเป็นผู้มีถิ่นพำนักข้ามเขตแดน
คุณไม่ต้องมีใบอนุญาต หากคุณกักตัวในโรงแรมระหว่างรัฐเสร็จสิ้นแล้ว และคุณต้องการจะเข้ารัฐวิกตอเรีย
คุณไม่ต้องมีใบอนุญาต หากคุณเป็นพนักงานบริการของสายการบินในประเทศหรือระหว่างประเทศ
ประเทศออสเตรเลียไม่สนใจเรื่องตัวเลขคนตายคนป่วยจากโควิดเขาไม่ค่อยแจ้งตัวเลขคนตายแต่บังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว
ภาษาของเธออาจ ติดๆ ขัดๆ บ้างตามประสาคนอยู่ต่างประเทศหลายสิบปี แต่พอจับใจความได้ว่าออสเตรเลียเน้นใช้มาตรการควบคุมแต่ไม่ให้ความสำคัญเรื่องป้องกันคือไม่สนใจในการรณรงค์ป้องกันโดยการรักษา
ในแต่ละรัฐรับนโยบายรัฐบาลกลางให้ใช้มาตรการป้องกันโควิด-19 ส่วนปฏิบัติอย่างไรแล้ว แต่มุขมนตรีของแต่ละรัฐจัดการตามอำเภอใจที่สำคัญเขาไม่ให้ความสำคัญกับการเปิดตัวเลขรายวัน
ออสเตรเลียไม่มีการขอความร่วมมือ ไม่มี อสม. ไม่มีอาสาสมัครช่วยเหลือแนะนำเอะอะก็ให้ไปพบแพทย์และการพบแพทย์แม้แต่คนผิวขาวเองก็แสนยากลำบาก เธอเล่าให้ฟังว่าเมืองไทยให้การดูแลเอาใจใส่พลเมืองดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าที่เขียนมาเล่าเพราะต้องการให้คนไทยได้สำนึกว่ารัฐบาลไทยดูแลเยียวยาคนไทยได้ดีกว่าออสเตรเลีย
ได้อ่านข่าวจากเดอะการ์เดี้ยนและคนไทยในออสเตรเลียเล่าให้ฟังแล้ว ทำให้เกิดรู้สึกว่าประเทศไทยช่างสุขสบายเสรีเสียนี้กระไร
ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2564 สามารถฉีดวัคซีนได้บรรลุเป้าหมายแล้ว มียอดการฉีดวัคซีนสะสมอยู่ที่ 100,054,961 โดส ครอบคลุมประชากรตามทะเบียนราษฎรและประชากรแฝงซึ่งมี 72 ล้านคนดังนี้ เข็มที่ 1จำนวน 50,573,308 คน คิดเป็น 70.21% เข็มที่ 2 จำนวน 44,393,213 คน คิดเป็น 61.63% เข็มที่ 3 จำนวน 5,020,704 คน คิดเป็น 6.97% และเข็มที่ 4 จำนวน 66,722 คน คิดเป็น 0.09% ซึ่งได้ถือว่าอยู่ในขั้นป้องกันหมู่ (Herd Immunity) ได้ระดับหนึ่งตามมาตรฐานของ WHO
ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดส แล้วเข้ามาท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว คนไทยที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี มีกวดขันบ้างในบางพื้นที่ก็ปฏิบัติกันแบบไทยๆ แต่ก็พิสูจน์ว่าพฤติกรรมแบบไทยๆ ได้ผลกว่าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น
ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้เพราะความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ อสม. แพทย์ พยาบาลที่ทุ่มเททำงานด้วยความเสียสละและต้องยกความดีให้คนไทยที่มีวินัยมากขึ้น ในห้วงเวลาที่โควิดระบาดใหญ่ คนไทยส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม กระตือรือร้นฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเพื่อให้ประเทศไปถึงจุดป้องกันหมู่ ได้ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติและร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เกือบล่มสลายให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่นานเกินไป
ในภาวะปกติคนไทยใช้ชีวิตง่ายๆ คือทำอะไรตามใจคือไทยแท้ แต่ในยามวิกฤตในยามที่พบกับปัญหายากลำบากคนไทยร่วมมือร่วมใจกันโดยไม่ต้องบังคับ จนเกิดความรู้สึกเหมือนถูกรัฐบาลใส่บังเหียนให้เช่นในออสเตรเลีย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี