รถไฟลาว-จีน (ความเร็วปานกลาง) ที่เริ่มเปิดบริการมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย และประตูแห่งโอกาสกำลังเปิดออกสำหรับผู้ที่มีความพร้อม
1. โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) สายแรกของประเทศไทย ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ยังคงอีกหลายปีกว่าจะเปิดให้บริการตลอดสาย
ระยะ (เฟส) ที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา 253 กิโลเมตร 14 สัญญาก่อสร้าง วงเงิน 1.79 แสนล้านบาท ภาพรวมยังมีความคืบหน้าไม่มาก(ช้ากว่าแผน) ไม่แน่ว่าจะเปิดทันปลายปี 2569 หรือไม่
ส่วนเฟส 2 นครราชสีมา-หนองคาย กำหนดการแล้วเสร็จโครงการ ภายในปี 2571 ขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และ เวนคืนที่ดิน
2. หากเปิดได้ตามแผนตลอดสายในปี 2571 สถานีกลางบางซื่อ-หนองคายระยะทางประมาณ 609 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 40 นาที
และสามารถเชื่อมต่อเข้าไปลาว ข้ามสะพานที่สร้างใหม่ ไปต่อกับรถไฟลาว-จีนที่เวียงจันทน์
ก็จะกลายเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่ร้อยประเทศไทย-ลาว-จีน และไปถึงยุโรปด้วยซ้ำ
ขณะนี้ ฝ่ายไทยได้เตรียมความพร้อมรองรับการขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่านทางรถไฟ ช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ให้มีความเหมาะสม โดยจัดขบวนรถได้ถึง 14 ขบวนต่อวัน ขบวนละ 25 แคร่ (รถไฟธรรมดา ขนาดราง 1 เมตร)
3. การเปิดให้บริการรถไฟลาว-จีน เชื่อมโยงจาก สปป.ลาว ไปถึงชายแดนจีนที่เมืองบ่อเต็น และเชื่อมต่อเข้ากับทางรถไฟจีนไปจนถึงเมืองคุนหมิง นับเป็นเส้นทางรองรับการขนส่งสินค้าและการเดินทางข้ามแดนที่สำคัญ
ลดต้นทุนการขนส่ง และระยะเวลา
สำหรับสถิติตัวเลขการส่งออกสินค้าผ่านชายแดนหนองคาย ช่วงเดือนธ.ค. 2563 กับช่วงเดือนธ.ค. 2564 (ช่วงที่เปิดให้บริการรถไฟลาว-จีน)มีปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นจาก 116,552 ตัน เป็น 304,119 ตัน มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4.64 พันล้านบาท เป็น 6.91 พันล้านบาท
4. ข้อมูลและบทวิเคราะห์ของ Bangkok Bank SME ว่าด้วยเรื่อง “ความเสี่ยงและความหวังของเศรษฐกิจไทยปี 2565” บางส่วนได้วิเคราะห์ถึงโอกาสและความเสี่ยงที่มาพร้อมการเปิดให้บริการรถไฟลาว-จีนไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
“...ความเสี่ยงสินค้าจีนทะลักเข้าไทยผ่านรถไฟลาว-จีน
นอกจากปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 แล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อย่างโครงการรถไฟลาว-จีน ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยขบวนรถไฟนี้ เชื่อมต่อระหว่างกรุงเวียงจันทน์ของลาวกับนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน
ทางรถไฟนี้มีระยะทางรวม 1,035 กม. และเป็นหนึ่งในโครงการ Belt &Road Initiative ของจีน ที่ต้องการขยายเส้นทางการเดินทางขนส่งเชื่อมต่อผู้คนใน 70 ประเทศทั่วโลกทั้งทางบกและทางทะเล
รถไฟนี้สามารถวิ่งทำความเร็วขนส่งผู้โดยสารได้สูงถึง 160-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าหากเป็นขบวนรถไฟขนส่งสินค้าจะสามารถวิ่งได้ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งจากลาวไปจีนได้มากถึง 40-50% เทียบกับค่าขนส่งรูปแบบเดิม และช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากลาวไปจีนลง เหลือเพียง 1 วัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเกือบ 30 วัน ผ่านทางท่าเรือของไทย
ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วที่รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการ โดยมีผู้โดยสารเดินทางด้วยรถไฟดังกล่าวแล้วกว่า 670,000 คน ขนส่งสินค้าไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 170,000 ตัน
สินค้าที่มีการขนส่งผ่านรถไฟเส้นทางนี้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ยาง ปุ๋ย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งทอ ผัก และ ดอกไม้ เป็นต้น (อ้างอิงจากสำนักข่าว Xinhua ประเทศจีน)
การเปิดตัวของรถไฟลาว-จีนนี้ สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับเศรษฐกิจไทย ด้านโอกาส ไทยมีโอกาสในการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังจีน สินค้าส่งออกต่างๆ ในไทย ปกติแล้วจะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลัก มากกว่า 80% ของจำนวนสินค้าทั้งหมด โดยโครงการเส้นทางรถไฟนี้จะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง และลดความเสี่ยงจากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนสำหรับการขนส่งทางเรือได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นแล้ว ไทยอาจได้ประโยชน์ในภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากในมณฑลยูนนานที่เป็นต้นทางของรถไฟสายนี้ มีจำนวนประชากรกว่า 47 ล้านคนถ้าหาก 1% ของประชากรเหล่านี้ เดินทางมาไทยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี (อ้างอิงจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) แต่ในขณะนี้ ทางการจีนยังคงเข้มงวดกับสถานการณ์โควิด จึงทำให้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวในเส้นทางใหม่อาจจะไม่ปรากฏในเร็ววันนี้
ส่วนทางด้านความท้าทาย แม้ว่าสินค้าไทยจะมีแนวโน้มส่งออกไปจีนได้มากขึ้น แต่สินค้านำเข้าจากจีนก็คาดว่าจะทะลักเข้ามาในไทยด้วยเช่นกัน และก่อให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจไทยในที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมเพื่อคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึง และเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
โดยรวมแล้ว ในปี 2565 นี้ ปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐออกมาตรการป้องกันที่เข้มงวดขึ้นส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวได้ดีหลังมีการเปิดประเทศ ทั้งนี้ ในระยะถัดไป เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปและจับตาว่ามาตรการภาครัฐจะเข้มงวดเหมือนกับช่วงกลางปีที่แล้วหรือไม่
ส่วนการเปิดตัวรถไฟลาว-จีน เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากจะมีสินค้าจากจีนไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นปริมาณมาก ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาสินค้าหรือบริการให้มีความแตกต่าง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น
แต่ทางเรา ก็เชื่อว่าปี 2565 นี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีกว่าปีที่แล้วมากโดยทางเราคาดการณ์ว่า GDP น่าจะโตได้ถึง 4.5% ในปีนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะสั้นๆ ยังมีความไม่แน่นอนจากสายพันธุ์โอมิครอน แต่การที่โอมิครอนไม่ได้ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง นั่นก็ชี้ว่า เราน่าจะใกล้เห็นวิกฤตโควิดใกล้จบแล้วเช่นกัน หลังจากที่ทำคนต้องปรับตัวกันอย่างหนักในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เราเชื่อว่าปีนี้ เราจะก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ไปได้...”
5. รถไฟลาว-จีนก็ดี การลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ของไทยในยุคนี้ก็ดี มันเหมือนโอกาสมาเคาะประตูหน้าบ้าน ประตูการค้าการลงทุนเปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม (น่าเสียดายที่ติดโควิด) ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน จะคว้าโอกาสนี้ได้มากน้อยต่างกัน ตามความสามารถในการแข่งขัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี