ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมมีภารกิจต้องเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยด้วยนะครับ ผมได้ออกเดินทางก่อนที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะทวีความรุนแรงอย่างมากในหลายๆ ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา วันที่ผมเดินทางถึงเมืองนิวยอร์กนั้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันอยู่หลักพันคน แต่ในวันที่เดินทางกลับตัวเลขนั้นพุ่งขึ้นเป็นร้อยเท่า ถึงหลักแสนคนเรียกว่าทริปนี้ผมอยู่ท่ามกลางโอมิครอนเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้กระทบกับภารกิจของผมอย่างมาก การประชุมบางอันต้องเลื่อนออกไป บางอันเปลี่ยนมาเป็นออนไลน์แทน ทั้งๆ ที่ตัวผมก็นั่งอยู่ในประเทศเดียวกันกับผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ ซึ่งน่าเสียดายมาก แต่ก็ทำให้ผมมีเวลาส่วนตัวในการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ด้วยการเดินไปรอบๆ เมือง สังเกตวิถีชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนๆกับพวกเรา แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างมาก ได้เห็นทัศนคติของคนในต่างแดนต่อการติดเชื้อและผู้ติดเชื้อที่ดูจะแตกต่างจากที่พวกเรารู้สึกกันทุกวันในประเทศไทย และได้ติดตามการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขสถานการณ์และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย
บทความนี้ผมจึงนำข้อสังเกตต่างๆ มานำเสนอเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณากันนะครับ
ภาพแรกที่ผมเห็นหลังจากเครื่องลงจอดเลยคือ ในสหรัฐฯ คนไม่ใส่หน้ากากกันเยอะมาก คนแรกที่ผมเห็นคือ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินเจเอฟเค นิวยอร์ก นี่คือด่านหน้าของสงครามโควิดเลยนะครับ เขาใส่หน้ากากแต่ดึงลงมาไว้ที่คาง และหน้ากากนั้นก็เป็นหน้ากากผ้า ซึ่งอาจจะไม่ปลอดภัยเท่าหน้ากากทางการแพทย์หรือ N95 อย่างที่กระทรวงสาธารณสุขไทยแนะนำ ซึ่งนี่เป็นภาพที่แปลกตาสำหรับผมมาก เพราะเราเพิ่งมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เจ้าหน้าที่สนามบินแต่งตัวครบชุด ทั้งหน้ากาก หมวก ถุงมือชุด PPE ฯลฯ และคุ้นเคยกับภาพสถานที่สาธารณะทั่วไปในประเทศไทยที่คนใส่หน้ากากกันเกือบหมด แม้จะอยู่กลางแจ้ง
ความคิดวูบแรกในใจเลย ก็คือตัดสินแล้วว่า นี่ล่ะ คงเป็นสาเหตุที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพราะ คนที่ขาดความรับผิดชอบและจิตสาธารณะแบบนี้ และคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่คนไทยต่างช่วยกันดูแลสังคมให้ปลอดภัยด้วยการใส่หน้ากาก และ ดูแลตัวเองอย่างดี
หลังจากได้พักผ่อนเต็มอิ่ม ผมออกมาเดินเล่นรอบๆ โรงแรม และสังเกตเห็นคนยืนต่อคิวทำอะไรกันสักอย่างเกือบทุกหัวมุมถนนในเมืองนิวยอร์ก บางถนนแถวย่านชุมชน มีเข้าคิวแบบนี้อยู่ 3-4 จุด ห่างกันไม่ถึง 20 เมตร ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปดูห่างๆเห็นเป็นเต็นท์เล็กๆ เขียนว่า ตรวจโควิดแบบ PCR ฟรี ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่สบายใจ ก็เดินมาต่อคิวตรวจฟรีได้เลย ถ้าไม่อยากต่อยาวสามารถจองคิวไว้ก่อนได้ พอถึงเวลาก็เดินไปตรวจเลย แล้วแจ้งผลตรวจทาง e-mail ภายใน 48-72 ชั่วโมง เอ้ย...ก่อนมาเราเพิ่งจ่ายเงินตรวจ PCR ไปหลายพันบาทนะ แน่นอนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยเดินไปที่เต็นท์หนึ่งที่ไม่มีคนต่อคิวเลย แล้วเข้าไปขอตรวจ PCR ฟรี ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 5 นาที สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสบายใจในการใช้ชีวิตประจำวันในเมืองนี้มากขึ้น เพราะรู้ว่า ถ้ารู้สึกไม่สบายผมสามารถเดินออกมาจากบ้านเพื่อตรวจ PCR ได้ภายในเวลาอันสั้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย เพื่อถ้าพบว่าติดเชื้อจะได้แยกตัวเองออกจากสังคมได้อย่างทันท่วงที
ช่วงที่ผมอยู่ที่นั่น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักในโรงแรม อาหารมื้อต่างๆ ก็ซื้อเข้ามารับประทานในห้อง เพื่อความปลอดภัย ผมจึงมีโอกาสได้ดูทีวีเยอะที่สุดในรอบหลายเดือน และช่องที่ผมชอบดูคือช่องข่าวครับ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าอะไรทำให้ช่องข่าวของสหรัฐ ฯ มีความน่าดึงดูดได้อย่างนี้ ข่าวและโฆษณาอันหนึ่งที่ผมได้ยินเกือบทุก 5 นาทีคือ เชิญชวนให้คนไปฉีดวัคซีน ทั้งเข็มแรกและเข็มกระตุ้น ถึงขนาดที่นายกเทศมนตรีนิวยอร์กทุ่มทุนจ่ายให้คนที่มาฉีดวัคซีนเข็มไหนก็ได้คนละ 100 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,300 บาทเลยนะครับ ผมเลยลองไปกดเล่นๆ ใน websiteดู ถ้าอยากจะฉีด สามารถจองคิวฉีดได้ภายใน 2 สัปดาห์เลยถ้าโชคดีคิวว่าง ก็นัดวันถัดไปได้เลยนะครับ เพื่อนๆ ที่อยู่ที่นี่บอกว่านี่ถือว่านัดยากมากแล้วนะ ช่วงที่โอมิครอนยังไม่มาคือสามารถเดินเข้าไปฉีดในร้านยาไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องนัดคิวก่อนเลย โอ้โห
นึกย้อนกลับมาตอนที่เราพยายามจะหาวัคซีนเข้าร่างกายกันในไทย เป็นช่วงที่วุ่นวายและยากลำบากอย่างยิ่ง ผมยังจำวันแรกที่เตรียมมือถือมากดจองวัคซีนเข็มแรกให้ผู้สูงอายุที่บ้านได้อยู่เลยครับ ผ่านไปหลายวันก็ยังจองไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงอยู่สักพักเลยทีเดียว มาถึงวันนี้ที่วัคซีนเริ่มมีมากพอ เราก็ยังเห็นคนไทยที่ต้องการฉีดวัคซีน แต่ยังไม่ได้รับวัคซีนอยู่เลย
ก่อนกลับผมได้ไปพบกับเพื่อนหลายคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐฯที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้วหายแล้ว ทุกคนพูดคล้ายกันว่า ถ้าฉีดวัคซีนแล้ว ติดก็ติด เพราะโอกาสอาการหนักมันน้อย พอรู้ก็แยกกักตัว มีเจ้าหน้าที่โทร.มาสอบถามอาการอยู่เรื่อยๆ จนบางทีรำคาญเลย ถ้าอาการไม่ดีก็รอรับยามาทาน ครบกำหนดกักตัวก็ตรวจผลเป็นลบก็ออกมาใช้ชีวิตตามเดิม ไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย ซึ่งค่อนข้างตรงข้ามกันสถานการณ์ในประเทศไทยในช่วงแรกๆ เลยนะครับ ที่ผู้ติดเชื้อหลายคนถูกมองเป็นพวกเที่ยวกลางคืน เป็นภาระสังคม กลายเป็นกลัวติดโรคเพราะกลัวสังคมประณามมากกว่ากลัวอาการป่วยเสียอีก
ข้อสังเกตทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยแย่ แล้วสหรัฐฯ ดีนะครับ ผมไม่ได้เขียนบทความชวนมาชังชาติ เพียงแต่ผมอยากสะท้อนภาพของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ภายใต้ภาวะวิกฤตเดียวกัน ซึ่งผลส่งให้ความคิดและทัศนคติของคนแตกต่างกันออกไปด้วย สิ่งสำคัญข้อหนึ่งที่ผมเห็นคือ การให้คุณค่าของความรับผิดชอบของคน และ คุณค่าของระบบรองรับที่ดี
เราจะเห็นว่าสังคมไทยให้คุณค่ากับความรับผิดชอบต่อสังคมของคนสูงมากในช่วงวิกฤติโควิด-19 ประเทศไทยคาดหวังให้เรารอดวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยปัจเจกมีความรับผิดชอบ ให้การ์ดไม่ตก ฉีดวัคซีน และหมั่นตรวจหาเชื้อ แต่ระบบรองรับสิ่งเหล่านี้ยังเป็นประชาชนที่ต้องรับผิดชอบทั้งในการปฏิบัติตามและเสียทรัพยากรส่วนบุคคล ในขณะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลก็เน้นเรื่องของการให้ประชาชนช่วยกันเพื่อฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ มีการสร้างระบบที่ทำให้การตรวจหาเชื้อและการฉีดวัคซีนทำได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย
หากเรามองให้ลึกกว่านั้น เราจะเห็นว่า แม้ในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่โควิด-19 ประเทศไทยก็ยังให้คุณค่ากับ “คนดีมีความรับผิดชอบ” และเราพร้อมจะใช้กลไกการลงโทษทางสังคมในการกดดันให้คนทำตามกรอบและกฎระเบียบนั้นๆ เราจึงมักได้ยินวลี การสร้างคนดีมีคุณธรรม บ่อยมากในวาระต่างๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะครับ ในหลายๆ กรณีกลไกลงโทษทางสังคมเป็นทางออกให้กับปัญหาสังคมขนาดใหญ่ ที่กฎหมายไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิผล แต่ข้อด้อยของมันก็คือ บรรทัดฐานสังคม ที่มักถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าอะไรคือ ความดี แบบไหนคือ คนดีนั้น มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอไป และมันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำว่าความดีของคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ความดีของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ เหตุการณ์สมมุติที่ถูกใช้อยู่บ่อยๆ คือ สมมุติให้คุณมีคุณแม่ที่ป่วยหนัก ต้องการยาตัวหนึ่งที่ราคาแพงมาก บังเอิญคุณทำงานในร้านขายยา คุณจะขโมยยาไปให้คุณแม่ของคุณไหมถ้าคุณอยู่ในสังคมที่ความกตัญญูเป็นคุณค่าสำคัญที่สุด คุณอาจจะเลือกที่จะขโมยยามาช่วยแม่ และได้รับการยกย่องว่าเป็น คนดี แต่ถ้าคุณอยู่ในสังคมที่ความซื่อสัตย์เป็นบรรทัดฐานหลัก คุณจะไม่ขโมยและได้รับการยกย่องว่า เป็นคนดี เห็นไหมครับว่าคนคนเดียวกัน ทำสองสิ่งที่แตกต่างกัน เมื่ออยู่คนละสังคมกัน ก็อาจเป็นคนดี หรือ คนไม่ได้ได้ทั้งคู่
แล้วแบบนี้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงล่ะ คำตอบก็คือ เราต้องสร้างระบบที่ดีควบคู่ไปด้วยครับ ระบบป้องกันการขโมยอย่างเข้มงวด เพื่อที่คุณจะไม่แม้แต่จะคิดว่าการขโมยเป็นทางเลือก และที่สำคัญระบบที่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลที่ดี เพื่อคุณแม่ของคุณจะได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ไม่ต้องสร้างภาระให้คุณดิ้นรนไปหายามารักษาเอง ซึ่งระบบที่พูดถึงนี้ก็คือ Good Governance หรือที่เราแปลเป็นไทยว่า ธรรมาภิบาล หรือ การกำดับดูแลที่ดี ครับ
ธรรมาภิบาล หรือ การกำกับดูแลที่ดี ดูจะเป็นคำใหญ่ที่จับต้องได้ยาก แต่ที่จริงแล้วมันใกล้ตัวเรามากและสร้างได้ไม่ยากเลย หลักการข้อสำคัญที่นึกได้ทันทีคือการสร้างความโปร่งใส กับ ความมีส่วนร่วมของคนในสังคมครับ และนี่คือที่มาของเครื่องมือต่างๆ ที่ทีมงาน HAND Social Enterprise ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พัฒนาขึ้นมา เช่น เพจต้องแฉ ACT Ai ฐานข้อมูลจับโกงหรือ Bangkok Budgeting จับตาให้งบกรุงเทพฯ ถูกใช้อย่างตรงจุด และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราทุกคนในฐานะประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้เลยวันนี้ เพื่อสร้างระบบที่ดีให้สังคมไทยครับ
สุดท้าย จากทริปที่จะไปคุยงาน กลายเป็นทริปที่ผมมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตา เห็นคนและสังคมตกอยู่ในวิกฤตการณ์เดียวกัน แต่กลับมีทัศนคติและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีบรรทัดฐานแตกต่างกัน ผมคงบอกไม่ได้ว่ามาตรการของประเทศไหนดีกว่ากัน เพราะทุกวันนี้ในสหรัฐฯ ก็ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งกระฉูด และประชาชนจำนวนมากก็ออกมาทักท้วงและประท้วงมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลอยู่ ที่แน่ๆ ผมไม่ได้บอกว่าคนดีมีคุณธรรมไม่มีความจำเป็น เพราะต่อให้ระบบดีแค่ไหน ถ้าทุกคนจ้องจะละเมิดหรือทำลาย ระบบก็คงอยู่ไม่ได้ แต่การแสวงหาคนดีมาปกครอง หรือสร้างให้ทุกคนเป็นคนดีก็คงไม่ใช่คำตอบเช่นเดียวกัน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดคงเป็นการมีระบบที่ดี และ มีคนที่พร้อมจะสนับสนุนให้ระบบที่ดีนั้นคงอยู่ได้ เพื่อให้คนสามารถใช้ชีวิตของตน และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างราบรื่นเพราะนี่คือหนทางในการพัฒนาสังคมที่ดีที่สุดครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี