ขอแสดงความยินดีกับ “นายวัฒนา เมืองสุข” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วย ที่ได้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เปิดโอกาสให้“อุทธรณ์คดี” ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาแล้วได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่
นายวัฒนามีความมั่นใจอยู่ 2 ประการ คือ ตนไม่ได้แต่งตั้งเสี่ยเปี๋ยงเป็นที่ปรึกษา กับการโกงที่เสี่ยเปี๋ยงกับพวกไปทำมา ไม่มีเส้นทางการเงินโยงใยมาถึงตนเลย
1) เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2562 นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เบิกความในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ (อัยการ) โดยมี นายวัฒนา
เมืองสุข จำเลยที่ 1 ขึ้นซักถามด้วยตัวเอง
เบื้องต้นนายแก้วสรร เบิกความยืนยันว่า เป็นหนึ่งในกรรมการในคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. ในคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่ายอัยการและ ป.ป.ช. ในคดีนี้ โดยไปประชุมด้วย 1 ครั้ง และไม่ทราบรายละเอียดในการไต่สวนของ ป.ป.ช. ทั้งสิ้น ทราบแค่รายละเอียดในการไต่สวน ในฐานะเป็นประธานคณะอนุกรรมการ คตส. ไต่สวนคดีนี้เท่านั้น
นายแก้วสรรเบิกความพฤติการณ์ของคดีนี้สรุปได้ว่า คตส. ไต่สวนกลุ่มเอกชนอย่างน้อย 11 ราย ที่เป็นรายใหญ่ ในการได้โควต้าบ้านเอื้ออาทรจากการเคหะแห่งชาติโดยมี 8 ราย ให้การยอมรับว่า มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นสินบนแก่นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง) เพื่อให้ได้งาน
ทำให้ คตส. กันกลุ่มเอกชนเหล่านี้ไว้เป็นพยาน ส่วนอีก 3 ราย ให้การว่าไม่ได้เป็นเงินสินบน แต่เป็นเงินค่าที่ปรึกษาต่างๆ คตส. พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุผลที่แก้ต่างไม่น่าเชื่อถือจึงมีความเห็นกล่าวหาว่าร่วมทุจริตด้วย และส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช.
ต่อมาเบิกความถึงกรณีเส้นทางการเงินของกลุ่มเอกชนต่างๆ ที่อ้างว่า มีการไหลมาสู่นายอภิชาติ
จันทร์สกุลพร (จำเลยที่ 4) และบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด (จำเลยที่ 8 ปัจจุบันล้มละลายแล้ว) ว่า เส้นทางการเงินคดีนี้รวมประมาณ 1.4 พันล้านบาท จากกลุ่มเอกชน 11 รายข้างต้น พบว่ามีการไหลไปสู่บัญชีเงินฝากคนใกล้ชิด หรือเป็นลูกน้องของนายอภิชาติ เช่น น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา เป็นต้น หลังจากนั้นไหลต่อไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่า คือ
ร้านก๋วยเตี๋ยว กระทั่งเงินจากร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งนี้ไหลออกไปนอกประเทศ และเวียนกลับเข้ามาสู่งบการเงินของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยอ้างว่าเป็นรายได้จากการขายข้าว
ทั้งนี้ นายวัฒนา ซักตอนหนึ่งว่า เส้นทางการเงินทั้งหมดในคดีนี้ ไม่มีก้อนไหนเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนใช่หรือไม่
นายแก้วสรร เบิกความว่า จากการตรวจสอบแล้วหาไม่เจอ แต่พฤติการณ์โดยรวม และคำให้การของพยานที่เป็นกลุ่มเอกชนในชั้น คตส. อ้างว่า เป็นที่รู้กันว่านายอภิชาติ เป็นทีมที่ปรึกษาของ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แม้ว่าจะไม่มีเอกสารทางราชการรองรับก็ตาม จึงเชื่อว่าน่าจะมีการสมคบกัน ใครที่อยากได้โควต้าโครงการนี้ให้ไปคุยกับนายอภิชาติแม้ตอนตรวจสอบในชั้น คตส. ไม่พบว่ามีเส้นทางการเงินไปถึงนายวัฒนา กับพวก แต่มีการส่งสำนวนให้กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อไต่สวนต่อ และปัจจุบัน ปปง. มีการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ และมีการฟ้องคดีทางแพ่งแก่ศาลไปแล้วด้วยกัน
2) หลังศาลตัดสิน (จำคุกนายวัฒนา 99 ปี) เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2563 นายแก้วสรร อติโพธิได้เผยแพร่บทความเรื่อง “รู้จัก “คดีโควต้าบ้านเอื้ออาทร” โดยมีเนื้อหาระบุว่า...
ถาม : โครงการ “บ้านเอื้ออาทร”คืออะไร?
ตอบ : คือโครงการที่คุณทักษิณ ชินวัตร ให้การเคหะแห่งชาติ มาทำหมู่บ้านจัดสรรให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ ตั้งเป้าที่ 6 แสนหน่วย ลงทุนบ้านและที่ดินไม่เกินหน่วยละ4.2 แสนบาท ขายหน่วยละ 3.9 แสนบาท
ถาม : ระบบ “โควต้า” บ้านเอื้ออาทรคืออะไร
ตอบ : สมัยรัฐมนตรีวัฒนา ในปี 2548 เห็นว่า การว่าจ้างเอกชนเป็นรายหมู่บ้านล่าช้าจึงนำหน่วยที่เหลือ 3 แสนหน่วย มาเปิดให้เอกชนมาทำสัญญาแบ่งจำนวนหน่วยที่ต้องการรับเหมาไปทำเลย เช่นบริษัทหนึ่งรับโควต้าไป 10,000 หน่วย ก็ทำสัญญารับโควต้าไปทำพร้อมวางหลักประกัน จากนั้นก็นำโครงการมาเสนอขายเป็นรายหมู่บ้านไป ทำไปหลายหมู่บ้านจนกว่าจะครบ 10,000 หน่วย
ถาม : รับซื้อกันยังไงครับ
ตอบ : การเคหะฯ เหมาซื้อที่หน่วยละ 4.2 แสนบาทได้โควต้าแล้วเบิกเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน 15% ของค่าโควต้าทั้งหมด หมู่บ้านใดที่เสนอแล้วได้รับอนุมัติได้ค่าที่ดินทันที 100%
ถาม : ระบบโควต้าอย่างนี้ ผู้รับเหมามีโอกาสกำไรมากกว่าระบบเดิมที่รับซื้อเป็นรายโครงการไหม
ตอบ : ระบบนี้ไม่มีการรับซื้อตามราคาที่ดินจริง เหมาให้เลย หน่วยละ 4.2 แสนถ้าได้ที่ดินราคาถูกก็ยิ่งกำไร ยิ่งยัดบ้านลงไปแน่นอีกเท่าใดก็กำไรหนักขึ้นไปอีก จากการตรวจสอบของ คตส. หมู่บ้านยุคนี้ แน่นมาก และเข้าถึงยากมาก เคยอยู่แค่รังสิตคลอง 2 ก็โดดไปคลอง 9 เลย ที่สมุทรสาครเลี้ยวเข้านากุ้ง นาเกลือก็มี
ถาม : อยู่ไกลแล้วมีคนซื้อหรือครับ
ตอบ : มีคดีโกงชื่อคนจอง เอาผีมาจองหลายโครงการ
ถาม : มีส่วนต่างให้นักการเมืองเรียกค่าโควต้าถึงหน่วยละ 1 หมื่นบาทไหม
ตอบ : ผู้รับเหมารายใหญ่ที่จ่ายเงินแล้วสารภาพกับ คตส. 7 ราย เขาบอกว่าทำได้ครับ สภาพคล่องก็ไม่ยาก ใช้กระดาษ 3 ใบยื่นคำขอโควต้า 10,000 หน่วย มูลค่างาน 4,200 ล้าน ก็ได้เงินล่วงหน้ามาแล้วไม่เกิน 630 ล้าน เท่านี้ก็พอแบ่งไปจ่ายค่าโควต้าได้แล้ว อย่างในคดีนี้เราพบว่าจ่ายเงินล่วงหน้าให้ 11 บริษัท ไปกว่าสี่พันล้านบาท พอเราตรวจทางเดินเงินก็พบว่าไหลไปเข้าเครือข่ายรับค่าโควต้าของจำเลยถึง 1,400 ล้านบาททีเดียว อาทิตย์เดียวเท่านั้นวางบิลเสร็จหมดเลย
ถาม : ผู้รับเหมายอมบอกไหมครับว่าค่าอะไร
ตอบ : 7 ราย เขายอมบอกว่าเป็นค่าโควต้าให้รัฐมนตรี โดยตัวแทนที่เป็นเสี่ยค้าข้าวและลูกน้องเป็นคนเจรจา คนทวง และคนรับครับ
ถาม : เห็นรัฐมนตรีเขายืนยันว่า การให้โควต้าเป็นเรื่องของการเคหะและจ่ายไปถูกต้องตามระเบียบทุกอย่าง
ตอบ : นั่นก็ถูกของเขาครับ ระบบโควต้านี้ไม่ผิดกฎหมาย ทุกสัญญาโควต้าที่ให้ก็ไม่ผิดกฎหมาย มันจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157 เกิดขึ้น แต่ที่ผิดมันผิดตรงที่ไม่มีใครมีสิทธิไปเรียกเก็บตั๋วค่าโควต้าครับ
ถาม : เขาบอกว่าเขาไม่ได้เรียก
ตอบ : แต่หลักฐานมันชัดว่าเสี่ยคนนั้น คอยกำกับจัดการการให้โควต้าและการให้เงินล่วงหน้า ทำตัวเป็นที่ปรึกษาอยู่ในออฟฟิศรัฐมนตรีเลย หน้าห้องรัฐมนตรีก็เคย โทรไปทวงเงินผู้รับเหมา เสี่ยคนนี้อาชีพค้าข้าวแล้วจะไปทำงานเป็นที่ปรึกษาบริษัทรับเหมาได้ค่าปรึกษาเป็น 14,000 ล้านบาท ได้อย่างไร
ถาม : เขาบอกอีกว่า เขาไม่ได้จับเงินเลย
ตอบ : มาตรา 148 แค่เจ้าพนักงานเรียกประโยชน์จากผู้อื่นก็ผิดแล้วครับ ส่วนเงิน 1,400 ล้านนั้น คตส.ตามไปติดๆ ก็เข้าบริษัทส่งออก ทะเบียนตั้งอยู่ที่ “ร้านก๋วยเตี๋ยว” มีหมานอนเกาเห็บ 2 ตัว เงินเข้าแล้วก็โอนไปธนาคารฮ่องกงเลย เข้าใจว่าเป็นการฟอกเงินกลับมาในนามเงินส่งออกข้าว คุณต้องรู้ว่าเสี่ยคนนี้ เป็นมือฟอกเงินของพรรคนี้มาหลายโครงการแล้ว
ถาม : รัฐมนตรีเขาบอกอีกว่าไม่รู้เรื่องเสี่ยเรียกเงิน
ตอบ : ผู้รับเหมาขนาดใหญ่ของเมืองไทยก็ไม่โง่ที่จะถูกหลอกขายโควต้าง่ายๆ เสี่ยเองก็วางตัวอยู่ในออฟฟิศรัฐมนตรี สั่งเจ้าหน้าที่ให้ส่งเอกสารรายงานความคืบหน้าให้ตนเองตลอดเวลา ศาลก็เลยตัดสินว่าเสี่ยต้องเป็นตัวการเรียกค่าโควต้าร่วมกันกับรัฐมนตรีรวม 11 ครั้ง 11 กระทง วางโทษรัฐมนตรีจำคุกกระทงละ 9 ปี รวม 99 ปี แต่เสี่ยไม่ใช่ เจ้าพนักงาน จึงโดนแค่สนับสนุนโทษ สองในสาม คือ 66 ปี จุดจบก็มาถึงตรงนี้ วันนี้ในที่สุด
ถาม : ในฐานะที่เป็น คตส.รับผิดชอบสำนวนนี้ รู้สึกอย่างไรที่ศาลตัดสินลงโทษ
ตอบ : คดีนี้ คตส.ได้ทีมตำรวจมือดีมาช่วยงานสืบสวนเจาะลึกปากคำในการเคหะฯ ได้นักตรวจสอบมือฉกาจจากธนาคารชาติมาไล่ตรวจสอบทางเดินของเงินจนละเอียดยิบ ได้มือทำสำนวนจากกรมพระธรรมนูญมาสมทบอีก รวมกว่ายี่สิบคน พวกเขาทุ่มเทปิดทองหลังพระกันเป็นปีจนสำเร็จมาถึงวันนี้ได้ช่วยขอบคุณเขาด้วยเถิดครับ
ถาม : อยากบอกคุณวัฒนาว่าอย่างไรครับ
ตอบ : พวกเราไม่ได้แกล้งคุณจริงๆ คุณจะชนะหรือแพ้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือไม่ก็แล้วแต่ศาลท่าน พวกผมเสร็จงานของผมแล้ว
3) ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาอุทธรณ์ ได้มีการวินิจฉัยประเด็นที่นายวัฒนาผูกเป็นเงื่อนปมไว้ว่าตนไม่ผิด ดังนี้
“...ประเด็นวินิจฉัยที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 จึงไม่มีอำนาจพิจารณาโครงการของการเคหะแห่งชาติ เห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี กำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และตามพ.ร.บ.การเคหะแห่งชาติ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูแลหรือยับยั้งการกระทำใดที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจดูแลกำกับการเคหะแห่งชาติตามกฎหมาย
...ประเด็นต้องวินิจฉัยต่อมา จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหาให้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง หรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 หรือไม่ คดีนี้ คตส.ได้มีการเรียกผู้ประกอบการมาให้การ โดยแจ้งว่าหากให้ความร่วมมือจะกันไว้เป็นพยาน ซึ่งผู้ประกอบการ 8 ราย ให้การยอมรับว่าได้รับการติดต่อจากตัวแทนจำเลยที่ 1 อ้างว่า หากอยากได้งานต้องมีการจ่ายค่าตอบแทน ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าพยานเหล่านี้ คตส.ใช้วิธีการข่มขู่ จูงใจ หรือให้คำมั่นสัญญาว่าหากให้การเป็นประโยชน์จะกันไว้เป็นพยาน พยานปากเหล่านี้จึงไม่อาจรับฟังได้ตามกฎหมาย เห็นว่าการสอบสวนเป็นวิธีการของเจ้าพนักงานในการแสวงหาหลักฐาน โดยไม่ปรากฏว่ามีการจูงใจหรือชี้นำพยานว่าต้องให้การไปในทางใด พยานให้การเป็นอิสระ จึงสามารถรับฟังพยานเหล่านี้ได้
...คดีนี้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้แต่งตั้งนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษา แต่จำเลยที่ 4 แอบอ้างและทำเองตามลำพัง เห็นว่า จำเลยที่ 4 มาพบจำเลยที่ 1 หลายครั้ง อีกทั้งยังไปแนะนำตัวกับจำเลยอื่นและผู้ประกอบการว่าเป็นที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 ประกอบกับพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่การเคหะฯเข้าเบิกความ และมีพยานเบิกความว่าได้ส่งเอกสารเชิญประชุมระบุชื่อจำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษา แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 4 อย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าจำเลยที่ 4 กระทำในฐานะที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นเลขานุการ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 เป็นเลขานุการ อย่างไม่เป็นทางการ
ต่อมาจำเลยที่ 1 สั่งการให้การเคหะฯ ออกประกาศฉบับใหม่ หากผู้ประกอบการรายใดยังไม่ได้รับการอนุมัติโครงการ ให้ผู้ประกอบการยื่นแบบโครงการ พร้อมแนบหลักประกันร้อยละ 5 ของโครงการ โดยจำเลยที่ 1 ยังเคยเรียกประชุมผู้ประกอบการแจ้งว่ามีค่าดำเนินการยูนิตละ 1 หมื่นบาท หากผู้ประกอบการรายใดพร้อมจะได้รับอนุมัติโครงการ ซึ่งมีพยานโจทก์หลายรายให้การสอดคล้องกันว่า ได้ยินผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติโครงการ แจ้งว่า หากอยากได้งานให้ติดต่อจำเลยที่ 4 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้ประสานงาน พยานจึงยอมจ่ายค่าตอบแทน โดยลดราคาเหลือ 9,000 บาทต่อยูนิต พยานจึงนำเช็คจำนวน 46 ล้านบาทไปให้ และได้รับอนุมัติโครงการสร้างบ้านเอื้ออาทร จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 อาศัยประกาศฉบับใหม่เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการจริง และเชื่อว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหาให้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง หรือผู้อื่น”
สรุป : ในที่สุด ศาลพิพากษายืนจำคุก “วัฒนา เมืองสุข”99 ปี แต่เเก้โทษริบทรัพย์ ให้จำเลยที่ 1 และพวกร่วมชดใช้เงินอีก 89 ล้านบาท จนท.คุมตัวนายวัฒนาเข้าเรือนจำ ทนายเผยยอมรับคำพิพากษา แต่ไม่ได้แปลว่า
ยอมรับผิด ขอพิจารณาจะถวายฎีกาหรือไม่
สิ่งที่น่าติดตาม คือ คลับเฮ้าส์ของกลุ่มแคร์และนายโทนี่ จะหยิบยกเอาเรื่องนี้ไปคุย ไปขยี้ ไปขยายไหม หรือจะทำเหมือนจักรวาลนี้ ไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี