การคว่ำบาตร (Sanctions) เป็นกลไกเครื่องมือในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ประเทศหนึ่งกระทำกับอีกประเทศหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ถูกคว่ำบาตร ตามความประสงค์ของประเทศที่เป็นผู้ดำเนินการคว่ำบาตร โดยเครื่องมือกลไกของการคว่ำบาตร มักจะเป็นในเรื่องเศรษฐกิจ เช่น การตัดความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจการค้า ซึ่งเป็นการปิดล้อมมิให้ประเทศที่ถูกคว่ำบาตรดำเนินการทางเศรษฐกิจได้ หรือนัยหนึ่งคือถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก เพื่อเป็นการลงโทษ และก่อให้เกิดความเดือดร้อนภายในประเทศที่ถูกคว่ำบาตร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนพลเมืองที่เดือดร้อนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน ทำการล้มล้างรัฐบาลของตนที่เป็นสาเหตุของการที่ประเทศตนเองถูกคว่ำบาตร
การคว่ำบาตรจึงถือเป็นเครื่องมือ หรืออาวุธทางการเมืองอย่างหนึ่ง เป็นการทำสงครามอีกรูปแบบหนึ่งที่มิใช่การสู้รบ โดยมีเป้าหมายที่จะให้ประเทศที่ถูกคว่ำบาตรยอมสยบ ยอมแพ้ยกธงขาว หรือเป็นเชื้อไฟให้ประชาชนพลเมืองล้มล้างรัฐบาลของตนเอง
ล่าสุดทั้งโลกก็ได้เห็นการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรยุโรปตะวันตก ไปจนถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อันสืบเนื่องมาจากการที่รัสเซียกรีฑาทัพเข้าไปในประเทศยูเครน ที่มีที่ไปที่มาจากการดึงดันที่จะให้ยูเครนเข้ามาเป็นสมาชิกขององค์การนาโต โดยรัสเซียมองว่าเป็นการละเมิดคำมั่นสัญญาของการไม่แพร่ขยายองค์การนาโตหลังการรวมประเทศเยอรมันตะวันตกกับตะวันออก จึงถือว่าเป็นการคุกคามความมั่นคงปลอดภัยของรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกาและฝ่ายยุโรปตะวันตก ได้ดำเนินการคว่ำบาตรประเทศต่างๆ ทั้งด้วยการตัดสินใจของตนเองและด้วยข้อมติขององค์การสหประชาชาติ เช่น การคว่ำบาตรคิวบา อิหร่าน อิรัก ซีเรีย เกาหลีเหนือ เวเนซุเอลา นิการากัว และแอฟริกาใต้ (ด้วยข้อหาการเหยียดผิว) แม้กระทั่งรัฐบาลตาลิบันของอัฟกานิสถานในขณะนี้
แต่การคว่ำบาตรต่างๆ เหล่านี้ ก็มิได้นำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะกับคิวบาที่มีการคว่ำบาตรมา 50-60 ปีแล้ว ก็ไม่ได้มีการลุกฮือของชาวคิวบาเพื่อต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของตน เช่นเดียวกันกับรัฐบาลของประเทศต่างๆ ดังกล่าวต่างก็ยังคงอยู่ในอำนาจอย่างมั่นคง อาจจะมีแค่กรณีของอิรักที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเอาเข้าจริงก็มิใช่จากการลุกฮือภายใน หากแต่เป็นการรุกรานของฝ่ายสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่โค่นล้มรัฐบาลซัดดัมฮุสเซน ต่างหาก
นั่นจึงกล่าวได้ว่า การคว่ำบาตรมักไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐบาลนัก หากแต่กลับกลายเป็นว่า ผู้ที่รับเคราะห์กรรมก็คือ ประชาชนพลเมืองของประเทศนั้นๆ ต่างหาก ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับการขาดแคลนปัจจัยซึ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งความเป็นไปที่คิวบาได้เป็นตัวพิสูจน์อันชัดเจนว่า การคว่ำบาตรคิวบาของสหรัฐอเมริกานั้น เป็นเสมือนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ชาวคิวบาขาดแคลนและยากไร้ ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ดูนิ่งเฉยและไม่แยแสอะไรกับประเด็นเหล่านี้เลย
มาบัดนี้สหรัฐอเมริกา รวมทั้งพันธมิตรยุโรปตะวันตก และเอเชียแปซิฟิก ได้ดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างใหญ่หลวงดังที่ทราบกันอยู่ ในขณะที่ผู้รับเคราะห์กรรมอันดับแรกนั้นคือ ชาวรัสเซีย และรายต่อๆ มาก็คือบรรดาประชาชนพลเมืองโลกที่ต้องบริโภคข้าวสาลีจากยูเครนและรัสเซีย รวมถึงเกษตรกรในหลายๆ ประเทศที่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีของรัสเซียเพื่อการเพาะปลูก และในขณะเดียวกันชาวโลก(แม้กระทั่งคนอเมริกันเอง) ต่างก็ต้องประสบกับภาวะน้ำมันแพง ก๊าซแพง และค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่ง
และที่น่าอดสูก็คือว่า ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และบรรดาประเทศพันธมิตร แทนที่จะคิดหาวิธีอื่นในการยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย กลับยังมุ่งค้นคิดหาวิธีการที่จะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม เสมือนว่าการคว่ำบาตรในหลายๆ วิธีการนั้น จะสามารถทำให้ฝ่ายตะวันตกบรรลุเป้าหมาย ได้รับการยอมแพ้ของรัสเซียโดยประธานาธิบดีปูติน
ทั้งนี้ทั้งนั้น โลกยังไม่มีทีท่าจะแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ อย่างสันติวิธี ด้วยการเจรจากันทางการทูตหรือไปแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุ และที่สำคัญมิได้มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีที่จะคำนึงถึงความลำบากยากไร้ที่ได้ก่อให้เกิดขึ้นกับประชาชนพลเมืองของโลกอย่างกว้างขวาง โดยแกล้งทำหลงลืมไปว่า การคว่ำบาตรดังเช่นกับการคว่ำบาตรต่างๆ ที่ได้ดำเนินมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น ไม่สามารถบีบบังคับบรรดาผู้นำของประเทศคู่อริได้ แถมยังเป็นการ “คว่ำ” ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ความมั่นคงในชีวิตประจำวัน และสร้างอนาคตที่มืดมนให้ประชาชนมากมายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้นๆ
ซึ่งในหลายๆ กรณีก็มักจะเห็นว่า การคว่ำบาตรนั้นนอกจากจะมิได้ก่อให้เกิดความขุ่นแค้น โกรธแค้น ของประชาชนพลเมืองต่อผู้นำของเขาแล้ว ยังกลับกลายเป็นว่า เป็นการนำไปสู่การเสริมสร้างความรักชาติ และลัทธิชาติพันธุ์นิยมของพลเมืองในประเทศนั้นๆ ว่า ประเทศของตนกำลังถูกต่างชาติกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกใจ จึงต้องร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลของตนเพื่อต่อสู้ หรือนัยหนึ่งคือการประณามประเทศผู้คว่ำบาตร มากกว่าจะไปประณามพฤติกรรมผู้นำของประเทศตนเอง
นอกจากประชาชนพลเมืองจะถูกผู้นำที่เลวร้ายของตนข่มเหงรังแกแล้ว ยังมาถูกซ้ำเติมด้วยผลกระทบในชีวิตประจำวันจากการคว่ำบาตรอีกต่อหนึ่ง จึงดูเสมือนว่า การคว่ำบาตรที่มุ่งโจมตีไปที่ตัวกลุ่มผู้นำนั้นพลาดเป้า และไปตกหล่นอยู่ที่ประชาชนพลเมืองผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แทน โลกสมัยใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนการใช้การคว่ำบาตรเป็นอาวุธทางการเมืองเศรษฐกิจ ซึ่งก็ต้องมีการใช้พินิจพิเคราะห์และใช้สติปัญญากันอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น และจะต้องคิดหามาตรการใหม่ๆ ที่จะไปให้ถึงตัวบรรดาผู้นำที่กดขี่ประชาชนพลเมืองของตนเอง และทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้อยู่เหนือกฎหมาย กติการะหว่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้บรรดาประเทศที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโลกก็ต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อร่วมมือกัน และมิใช่แตกแยก และต่อกรกันเอง
ไทยเราก็ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ และไม่โดดเข้าไปร่วมวงในการคว่ำบาตร โดยเฉพาะการคว่ำบาตรที่เป็นแค่แห่กันตามไปตามกระแส ซึ่งการเลือกที่จะคว่ำบาตรหรือไม่นั้น สมควรต้องคำนึงถึงว่ามันเกิดประโยชน์สมประสงค์ต่อการ
ใช้งานหรือไม่ มิเช่นนั้น มันจะเป็นเพียงการสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนมนุษย์โดยไม่จำเป็น และในที่สุดบนโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงเข้าหากัน การคว่ำบาตรประเทศใดๆ จะส่งผลกระทบอันเลวร้ายกลับมาที่ประชาชนพลเมืองของเราในไม่ช้า
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี