กระแสพลิกกลับ สังคมตั้งคำถาม และตำหนิอย่างรุนแรง กรณีหมอปลาและพวก ซึ่งจำนวนหนึ่งคือ “นักข่าว” กระทำการในลักษณะ “ล่อซื้อ” เพื่อจะถ่ายคลิป กล่าวหาหลวงปู่แสงลวนลามสีกา ไปในทำนองว่า บางคนก็หิวแสงบางคนก็หิวข่าว อยากได้ข่าวแรงๆ ไปเป็นกระแสแต่สุดท้าย ถูกกระแสฟาดกลับเสียเอง พฤติกรรมเหล่านี้ หากอยู่ในสมัยพุทธกาล อาจถูกเรียกว่า พวกเดียรถีย์ !!
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็มีบทเรียนแก่หลายๆ ฝ่ายไปพร้อมๆ กันด้วย
1) นายไพรวัลย์ วรรณบุตร ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ผมเคยพูดไว้ตั้งแต่สมัยเป็นพระแล้วนะครับว่า พระเกจิหลายรูปเนี่ยเสียหายเพราะลูกศิษย์เยอะมาก คือลำพังพระเกจิเอง หลายรูปท่านไม่มีอะไรนะครับ ท่านเป็นพระบ้านๆ หลายรูปท่านมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสทีเดียว
โดยเฉพาะพระสายวัดป่าหลายรูป ผมก็ศรัทธานะครับ แต่พอเจอเรื่องที่ลูกศิษย์เอามาอวดมาอ้าง ผมนี่ส่ายหัวเลย เป็นพระวัดป่าแล้ว ต้องกลายเป็นพระอรหันต์ไปหมด ต้องกลายเป็นพระอริยเจ้าไปหมด ต้องมีพระธาตุ มีของวิเศษ มีอะไรซึ่งมาจากของปฏิกูลไว้บูชากราบไหว้กัน อันนี้ผมว่าหลงทางนะครับ
กรณีของหลวงปู่แสง แม้ผมจะไม่ได้ตามข่าวมาก แต่พอทราบว่า ท่านเป็นพระชราภาพ ทั้งยังมีสัญญาความจำเลอะเลือนแล้ว ผมสงสารท่านนะครับ คำถามคือ ทำไมลูกศิษย์ทั้งที่เป็นพระและฆราวาสยังปล่อยให้หลวงปู่รับแขกรับศรัทธาจากญาติโยมไปเรื่อย แทนที่จะปล่อยให้ท่านได้อยู่ภาวนาอย่างเงียบสงบของท่านแบบที่ควรจะเป็น
พระชราภาพแถมสัญญาความจำไม่ดีแล้ว จำต้องมีคนอุปัฏฐากพยาบาลอย่างใกล้ชิดไม่ใช่เหรอครับ ทำไมลูกศิษย์ที่ดูแลถึงปล่อยให้ท่านทำสิ่งไม่เหมาะไม่สม (อย่างการถูกเนื้อต้องตัวสีกา) ทั้งๆ ที่พวกคุณก็รู้ว่าท่านมีสัญญาความจำเลอะเลือน ทำไมลูกศิษย์ถึงปล่อยให้มีภาพมีคลิปที่ชวนให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้กับท่านได้
ที่ผมบอกว่าพระเกจิหลายรูปเสียหายเพราะลูกศิษย์ ก็เพราะอย่างนี้เลยครับ หลายกรณีลูกศิษย์เอาอาจารย์มาขาย บางแห่งถึงกับกั้นตู้กระจกโชว์ เหมือนอย่างอะไรเลยครับ น่าเวทนามาก เอาครูบาอาจารย์มาทำเรื่องเปรอะเปื้อนกัน เอามาแอบอ้างหวังลาภสักการะเงินทอง มันไม่ถูกนะครับ อันนี้ผมอยากจะฝากไว้ด้วยความปรารถนาดี
นับถือผิดเรื่อง ศรัทธาผิดที่ = ทำร้ายครูบาอาจารย์ครับ”
2) ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ หมอปลา หรือจีระพันธ์ เพชรขาว และ น้ำฟ้า-รภัสสรณ์ ฤทธิธนไพบูลย์ เผยว่า ยอมว่าตนเองผิดพลาดเรื่องของข้อมูลของหลวงปู่แสง เรื่องอาการป่วยจริง จึงมีการถามไปที่ลูกศิษย์ว่าทำไมป่วยแล้วไม่พาไปหมอ แต่อยากให้เข้าใจว่า ที่โวยวายลูกศิษย์เพราะเชื่อว่าคนป่วย ก็ต้องพาไปรักษา
หมอปลาเผยว่า ทีมงานมีการเก็บข้อมูลหลักฐานกันมาก่อน และวันที่ลงพื้นที่ได้ประสาน ผอ.สำนักพุทธฯ จ.ยโสธร, นายอำเภอป่าติ้ว, และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปร่วมตรวจสอบ ซึ่งยอมรับว่า ผิดพลาดเรื่องข้อมูลอาการป่วยของ “หลวงปู่แสง” ทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ เพิ่งทราบหน้างานตอนลงพื้นที่ว่าหลวงปู่ป่วย จึงมีการซักถามไปที่พระเลขาฯ ว่า ถ้าหลวงปู่ป่วยทำไมถึงไม่พาท่านไปรักษาให้มันถูกต้อง และประเด็นการซักถาม ก็เลยลามไปถึงเรื่องอภินิหาร เรื่องพระธาตุ
ด้าน น้ำฟ้า ยอมรับว่าพฤติกรรมของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม อยากขอโทษด้วยสำนึกผิดจริงๆ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ
3) “ชนะวุธ อุทโท” หรือ อ.ลิ้งค์ คชาวุธ เซียนพระชื่อดังเมืองขอนแก่น โพสต์ข้อความระบุว่า “หลวงปู่อายุ 100 ปี อายุกาลพรรษาเกือบ 80 ปีท่านก็เหมือนปู่ย่าตายายของเรา คนแก่สังขารท่านหลงๆ ลืมๆ ผมขอพูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ “ท่านไม่เล่นขี้ก็บุญแล้ว” ท่านเดินไม่ได้ลุกนั่งเองไม่ได้ จำใครแทบไม่ได้
ที่ผ่านมาเกือบ 80 ปีในร่มกาสาวพัสตร์ท่านเคยมีเรื่องพวกนี้หรือ ท่านเป็นที่เคารพสักการะของสงฆ์และฆราวาสทั้งหลายในการปฏิบัติไร้ข้อด่างพร้อย
คณะอุปัฏฐากก็ควรจะเอาใจใส่ท่านให้มากกว่านี้หาใช่แต่ยุยงส่งเสริม ปล่อยเลยตามเลย อาสน์สงฆ์ไม่ใช่บริเวณที่ใครก็ขึ้นไปได้ โดยเฉพาะสตรี เรื่องเคาะหัว เป่าหัวรักษาโรคภัยเป็นแค่ความเชื่อเฉพาะตน มันรักษาใครไม่ได้หรอก แต่มันคือกำลังใจ มันมีมานานแล้ว อีกอย่างคณะอุปัฏฐากตอบคำถามนักข่าวก็ตอบ งงๆ งูๆ ปลาๆ ไม่ตั้งสติก่อนตอบมีแต่ต่อปากต่อคำนักข่าวแทนจะหาเหตุผลปกป้องหลวงปู่ ต่อมากินเยี่ยวโชว์ เพื่อแจ้งให้เห็นถึงความศรัทธาบนความเขลาเป็นช่องให้นักข่าวขยี้
นักข่าวใส่สีตีไข่ ว่าเรื่องรักษาโรคบ้างล่ะ เรื่องพระธาตุบ้างล่ะ เพื่อจะให้เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เพื่อจะสึกพระอายุร้อยปี แล้วคิดว่าตนเจ๋งงั้นหรือ หลวงปู่ท่านเคยพูดงั้นหรือว่าเคาะหัวจับโน่นนี่นั่นแล้วจะหายมะเร็ง ท่านเคยพูดหรือว่าท่านเป็นอรหันต์ ท่านเคยยืนยันหรือว่าที่เป็นพระธาตุนั้นคือปาฏิหาริย์ของท่าน ก็ศิษย์ท่านทั้งนั้นแหละที่เชื่อและมันเป็นสิทธิของเขา อย่าไปเสือกเรื่องของเขาเพราะเขาก็ไม่เคยเสือกเรื่องของท่าน
สองผัวเมียรับเรื่องมา ตั้งตนเป็นมือปราบ ได้พิจารณาก่อนมั้ยว่าในคลิปสื่อถึงอะไร คนถ่ายคลิปต้องการอะไร หาใช่จะเอาความคิดส่วนตนมาพิพากษาท่าน ใช้ถ้อยคำยั่วยุ ผรุสวาท มันสมควรแล้วหรือ แนะนำย้อนไปพันปีไปตัดสินอรหันต์จี้กงด้วย
เวรกรรมมีจริง เรื่องสงฆ์ให้สงฆ์ตัดสิน เรื่องกฎหมายให้ศาลตัดสิน เราทุกคนไม่มีสิทธิตัดสิน ขบวนการรักษาศาสนาของท่าน มันกำลังบ่อนทำลายศาสนาอย่างไม่รู้ตัว พวกคอมเมนต์กันสนุกปากก็พิจารณาเอาเถิด
ผมขอพูดภาษาชาวบ้านอีกครั้ง ท่านได้สี้ใครหรือยัง ถึงไปตัดสินท่านแบบนี้ จะเอาอะไรกับพระมหาเถระอายุร้อยปีท่านประคองธาตุขันธ์มาถึงร้อยปีได้ก็บุญแล้ว การแตะเนื้อต้องตัวสตรีต้องอาบัติ หากไม่รู้เนื้อตัวหรือสงฆ์อาพาธเป็นสังฆาทิเสส ตามพระธรรมวินัย หากแตะเนื้อต้องตัวแต่จิตใจไม่ได้คิดกำหนัดกามารมณ์ก็เป็นอาบัติ สามารถปลงอาบัติได้
ถ้าเหตุการณ์นี้ถ้าสองผัวเมียล้มหลวงปู่แสงลงได้ก็ไม่ต้องไปหวังพึ่งอะไรแล้วในวงกรรมฐาน”
4) นายไพศาล พืชมงคล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คในหัวข้อเรื่อง “ขบวนการนารีพิฆาตพระ” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
1.ระยะปีเศษมานี่ มีเหตุการณ์ พระสงฆ์ถูกกล่าวหาในทางมิดีมิร้ายหลายครั้ง เป็นเหตุการณ์แปลกๆ จนพระสงฆ์ต้องสึกออกไปหลายรูปแล้ว ทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพบว่ามีทั้ง 2 ประเภท คือ พระไม่เป็นพระจริงๆ อย่างหนึ่ง และพระที่ถูกข้อกล่าวหาและสึกออกไป แบบแปลกๆ อีกอย่างหนึ่ง
2. จากการติดตามปรากฏว่า ทุกเรื่องจะมี 2 ขั้นตอน
- ขั้นตอนแรก จะเป็นการรวบรวม สร้างหลักฐานว่าพระประพฤติ ไม่ถูกต้อง มีการบันทึกคลิปต่างๆ ไว้
- ขั้นตอนที่ 2 จะเป็นขบวนการ ที่ประหลาดมาก คือไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานโดยตรงที่มีหน้าที่ แต่เป็นคนภายนอก และมีสื่อมวลชน บางประเภทเข้าร่วม จากนั้นก็ยกทีมกันไปแฉพระ โดยมีการออกข่าวเรื่องล่วงหน้า ตีเป็นกระแสในที่สุดพระก็สึกออกไป
กระบวนการที่ 2 นี้ เป็นชาวพุทธหรือไม่? มีประวัติเป็นมาอย่างไร? และมีอำนาจหน้าที่อย่างไร? จึงเป็นเจ้ากี้เจ้าการ รับเรื่องที่อ้างว่ามีการร้องเรียน แล้วไปจัดการกันเอง ทั้งที่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเจ้าของเรื่องอยู่แล้วรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ กิจการพระศาสนาก็มีอยู่แล้ว!!!! เห็นเรื่องดังขึ้นมาพระก็สึกออกไปแล้ว และทุกเรื่อง จะมีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้องทั้งสิ้น!!!
3.เกิดกระแสตีกลับขึ้น ก็จากกรณีหลวงปู่แสงซึ่งเป็นพระสายปฏิบัติในสายของพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นเสาหลัก ของพระปฏิบัติในประเทศไทย หากเสาหลักนี้ล้มลงแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมสลายไปจากประเทศไทย อย่างรุนแรง
ที่เกิดเป็นกระแสตีกลับ ก็เพราะว่า
- หลวงปู่แสงท่านมีอายุ 105 ปีแล้ว แต่ในทะเบียนแจ้งอายุน้อยกว่าอายุจริง ว่าอายุเกือบร้อยปีเท่านั้นแม้ปานนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่า โดยสภาพร่างกายไม่อยู่ในฐานะ ที่จะล่วงเกินทางเพศกับผู้ใดอีก
- ปรากฏความชัดว่าหลวงปู่แสงท่านประสบอุบัติเหตุ เมื่อช่วงอายุ 87 และเป็นโรคอัลไซเมอร์หลงๆ ลืมๆ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ความทรงจำ และความหลงเลือนก็เกิดมากขึ้นตามประสาผู้มีอายุมากขนาดนั้น และอาการที่กระทำต่อกรณีที่เกิดขึ้นก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับที่ท่านปฏิบัติต่อคนอื่นลักษณะความเคยชิน
- กรณีเกิดเหตุที่นำมาเป็นข่าวกันนั้นเห็นได้ชัดว่ามีการจับฉากร่วมมือ ระหว่างผู้เป็นอุปัฏฐากดูแลหลวงปู่แสงกับพวกที่เอาสตรีขึ้นไปถ่ายทำคลิปวีดีโอ ซึ่งทำการต่อหน้าคนหลายคน ผิดวิสัย ของผู้ที่คิดล่วงเกินทางเพศผู้อื่นตรงนี้คงเกิดขึ้นเพราะบาปกรรมบันดาลให้เป็นไปก็ได้ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการสมรู้กันจัดฉาก
และมีเรื่องเกี่ยวกับการดื่มน้ำปัสสาวะซึ่งไม่ได้เกี่ยวกันเลยและในเรื่องดื่มปัสสาวะนั้น แต่โบราณมาก็มีการดื่มกันแม้มหาตมะ คานธี หรือ เนห์รู ก็ดื่มปัสสาวะ พระสงฆ์หลายรูปก็ดื่มปัสสาวะเพราะเป็นยาอย่างหนึ่ง ผมเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสืออายุวัฒนะนานมาแล้ว แต่พวกไม่รู้ความก็ไปเขียนเรื่องผิดๆ ให้เข้าใจผิด ให้ไปศึกษาดูคำว่า “น้ำมูตรเน่า”ในพระวินัยดูก็จะเข้าใจได้ ในขณะที่กฎระเบียบของวัดก็ชัดเจนว่า ห้ามสตรีเข้าไปใกล้พระ เหตุการณ์แบบนี้ เพียงสังเกตนิดเดียวก็เห็นชัดว่าเป็นการสมรู้กันจัดฉาก
- มีข่าวว่าหลวงปู่แสงมีเงินฝากในบัญชีถึง 57 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ลูกหาทำกันเองทั้งสิ้น เพราะอายุขนาดนี้จะไปเปิดบัญชีได้อย่างไร จะนำเงินเข้าฝากได้อย่างไร?การจัดฉากเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความต้องการหรือผลประโยชน์ในเงิน 57 ล้านนี้ก็ได้!!!! ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องตรวจสอบขบวนการสึกพระครั้งนี้สักครั้งหนึ่ง
ตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมาของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่าเป็นชาวพุทธหรือไม่? มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? มีอาชีพอะไร? อาศัยฐานะและเครือข่ายอะไร
จึงไปทำหน้าที่สึกพระไม่หยุดไม่หย่อน!!!!
และกรณีหลวงปู่แสงนี้จะต้องตรวจสอบถึงผู้ใกล้ชิดและที่มาของข่าวสารทั้งหมดที่นำมาออกสื่อเพราะนี่เป็นเบาะแสสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าอาจมีการสมรู้กัน ถ้าหากผลการตรวจสอบ มีข้อเท็จจริงชัดเจนประการใดแล้ว ก็อาจจะมีอานิสงส์ในการปกป้องพระพุทธศาสนา โดยบังเอิญก็ได้
5) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยกข้อกฎหมายโพสต์เตือนหมอปลา ว่า “เตือนหมอปลา ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 309 วรรคสอง การร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด ฯลฯ ระวางโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาทนะ”
6) ทัดชนม์ กลิ่นชำนิ อดีตสมาชิกกลุ่มนิวเด็ม พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ค (ซึ่งไม่ทราบว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่เป็นประเด็นชวนคิด) ว่า
“สังคมนี้ ไม่นับถือกระบวนการของภาครัฐ ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม ไม่เชื่อศาล ไม่ฟังตำรวจ โอเค เข้าใจได้ เพราะหลายครั้งหลายเคส สิ่งเหล่านั้นก็นำไปสู่การตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือ จนบางครั้งนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาของผู้คนในสังคมได้
แต่อย่างไรก็ตาม การเสื่อมศรัทธานั้น ไม่ใช่ข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมที่จะสถาปนาองค์กร กลุ่มบุคคล หรือบุคคลใด ขึ้นมาทำหน้าที่ตัดสินถูกผิดกันเองตามใจชอบ ประหนึ่ง “ศาลเตี้ย” แล้วก็มายกย่องชื่นชมกันเลยเถิด
แม้คู่กรณีใดๆ ก็ตามจะผิดจริง สิ่งที่ต้องทำคือให้องค์กรที่ต้องรับผิดชอบเข้าไปดูแล หากองค์กรใดๆ เหล่านั้นเพิกเฉย ก็ไปกดดัน ไปกระทุ้ง หรือจะยกโขยงกันไปด่าองค์กรเหล่านั้นก็ได้ ไม่ใช่ “ถือวิสาสะ” ตัดสินกันเองว่าใครถูกใครผิด แล้วบุกกันไปทำอะไรก็ได้
โอเคแหละ เข้าใจว่าตั้งใจดี ขออนุโมทนาในความตั้งใจดีเหล่านั้นด้วย แต่คือถ้าจับผิดจริงได้ก็ดีไป แล้วถ้าเกมพลิกล่ะ คนแจ้งแกล้ง หรือเป็นความที่ฟังมาข้างเดียวจะทำอย่างไร มีกระบวนการสอบสวนสืบสวนใดรองรับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น เพราะเวลาข่าวออกไปให้คนตีตราแล้วมันคือจบแล้วสำหรับคนคนนั้น ถ้าหากมันไม่จริงขึ้นมาสังคมก็ไม่เชื่อไปแล้ว ใครจะรับผิดชอบต่อตราที่ถูกตีไว้บนหน้าผากนั้น ?
เข้าใจในความเสื่อมศรัทธาทั้งต่อคู่กรณี และต่อองค์กรที่ต้องดูแล และตัดสินถูกผิดในบ้านเมืองนี้ แต่สิ่งที่ควรทำก็คือต้องกดดันองค์กรที่มีหน้าที่เหล่านั้นให้ทำงาน เหมือนที่ทำกันมาอยู่ 2-3 ปีนี่แหละ ขับเคลื่อนสังคมไปได้ตั้งมากมายหลายประเด็น ไม่ใช่ไปยกย่อง สถาปนาบุคคลที่ไม่มีหน้าที่มาทำเรื่องแบบนี้โดยพลการ”
เรื่อง “ขบวนการคะนองข่าว” บุกเล่นงานหลวงปู่แสง จึงมีมุมให้คิด มากมายหลายประการดังที่หลายๆ ท่านกล่าวมา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี