หลังจากทหารยูเครน 2,439 นาย ที่ใช้โรงงานถลุงเหล็กอาซอฟสตอล เป็นป้อมปราการสุดท้ายมอบตัวต่อรัสเซีย ถือได้ว่าที่มั่นสุดท้ายของกองกำลังนาซีใหม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียเรียบร้อยแล้ว
อาทิตย์นี้เสนอบทความพิเศษเรื่อง ชะตากรรมของทหารรับจ้างยุโรป ที่ตั้งเป้าหมายว่า “สังหารทหารรัสเซียเพื่อหารายได้” แต่เจอกับอุปสรรคมากมายสุดท้ายซมซานกลับบ้านโดยไม่ได้เห็นทหารรัสเซียแม้แต่คนเดียว
บทความชิ้นนี้ ถอดความมาจาก วารสารบิสซิเนสอินไซเดอร์ เขียนโดย คาตี ลิฟวิงสโตน ในชื่อเรื่องว่า “สองหนุ่มเยอรมันล่าความฝันว่า ไปสังหารทหารรัสเซียในยูเครน สุดท้ายต้องซมซานกลับบ้าน ไม่ได้เห็นทหารรัสเซียแม้แต่คนเดียว”
เสนอบทความยาวสามตอน เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักการเมือง นักกิจกรรมทั้งหลายที่สนับสนุนให้คนไทยไปช่วยรบยูเครน ได้รับรู้ว่า นักรบรับจ้างที่เห็นโฆษณาชวนเชื่อแล้วมักง่ายสมัครใจไปโดยไม่ไตร่ตรองล่วงหน้าว่า มันซับซ้อนอย่างไรเมื่อไปถึงแล้วต้องเจอปัญหาอะไรที่เกินกว่าจะจินตนาการได้
Insiders เปิดฉากรายงานพิเศษด้วยหนุ่มเยอรมันสองคน เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในโรงแรมที่เมืองลวิฟ ประเทศยูเครน ผู้มาใหม่ตะโกนถามว่า ห้องพักอยู่ที่ไหนและมีห้องน้ำไหม
สองหนุ่มเยอรมันไปถึงยูเครนวันที่ 2 มีนาคม หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าทหารรัสเซียจ่อบุกยูเครน ในโรงแรมเต็มไปด้วยสตรี เด็กเล็กและคนชรา ที่หนีภัยสงครามมาทางตะวันออก ว่าที่ทหารรับจ้างเยอรมันตะลึงงันกับภาพที่เห็นในโรงแรม
แมรี่ กับ แอตเตอร์แรม ตุรกีเชื้อสายยูเครน เป็นผู้ดูแลโรงแรม นอนพักอยู่บนพื้นซีเมนต์ในห้องครัวที่เสริมอุปกรณ์ทำเป็นบังเกอร์ ลุกขึ้นเตรียมชาต้อนรับผู้มาใหม่แล้วให้พวกเขาอธิบายว่ามาทำไม
“พวกเราเป็นทหารอาสาสมัครของกองพันนานาชาติแห่งกองทัพยูเครน” ลูกัสบอกกับผู้ดูแลโรงแรม โธเพียต เพื่อนร่วมทางของเขาพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “พวกเรามาที่นี่เพื่อรบกับรัสเซีย”
แมรี่ กับ แอตเตอร์แรม ขอบคุณในความกล้าหาญของสองหนุ่มเยอรมัน จัดเตรียมเตียงนอนสองชั้นให้แล้วกลับไปนอนต่อ
สองหนุ่มเยอรมันออกไปที่เฉลียงเพื่อสูบบุหรี่และเชิญผมซึ่งเป็นนักข่าวพักอยู่ในโรงแรมนี้ตั้งแต่เริ่มมีสงครามไปร่วมวงสนทนากันจนดึกดื่นในคืนนั้น
ลูกัส แต่งกายฉูดฉาดและสวมรองเท้าเทนนิสน้ำเงินขาว กล่าวว่า เขาอายุ 33 ปี ทำงานกับร้าน IT ของบิดาก่อนหน้าเดินทางมายูเครน เขามีกระเป๋าเดินทางขนาดเขื่องบรรจุสิ่งละอันพันละน้อยที่ใช้ทางการทหาร และมีเงินติดตัวมาเพียงเล็กน้อย พอจ่ายค่าห้องพักได้สองสามคืน
ลูกัส บอกผมภายหลังว่า เขาเบื่อการทำงานร้านIT และอยากหาสิ่งที่ตื่นเต้นกว่า และยูเครนดูเหมือนว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นที่เขาอยากทำตามความฝัน เมื่อเขาบอกครอบครัวและแฟนสาว ว่าเขาจะมาร่วมรบกับกองพันนานาชาติในยูเครน ครอบครัวเขาพยายามนำหนังสือเดินทางของลูกัสไปซ่อน แต่เขาหามันจนเจอและหนีออกมาจากบ้านตอนกลางคืน“ผมตัดสินใจแล้วและไม่มีใครหยุดผมได้” ลูกัสกล่าว
โธเพียตอายุ 44 ปี มีอายุมากกว่าเขาหนึ่งทศวรรษ เป็นคนขายนาฬิกาหรูราคาแพงและใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันสุดสัปดาห์อยู่ในบาร์ในไนท์คลับ เขานำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่กว่า ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความกระตือรือร้นจะร่วมรบสักเท่าไหร่
โธเพียต เล่าว่า เขานอนดูทีวีในบ้านชานเมืองแฟรงก์เฟิร์ต และมีแรงดลใจจากภาพในทีวีที่เห็นเด็กสาวถือปืนคาลาชนิคอฟในเมืองคาร์คีฟ เธอดูเหมือนว่ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูน่า ลูกสาวของเขา
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเป็นลูน่า” เขาเล่าถึงความคิดตอนนั้น “ผมจะปล่อยให้เธอสู้รบอยู่ตามลำพังได้อย่างไร?..”
เมื่อปีกลายพ่อและพี่สาวของเขาล้มละลายเสียร้านขายนาฬิกาหรูไป ด้วยความเสียใจเขาใช้ชีวิตอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกดื่มสุรา เสพยาไม่ได้พบหน้าลูกสองคนถึงหกเดือน
“ครอบครัวคือชีวิตของผม และผมไม่มีพวกเขาอีกต่อไป” เขาบอกว่านี่ไงคือเหตุผลที่เขามายูเครน“เราควรยืนดูอยู่เฉยๆ หรือ” เขาพูดและรำพึงถึงประวัติศาสตร์ชาติของเขาในสงครามโลกครั้งที่สอง“ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย” (เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่สองต่อรัสเซีย=ผู้เขียน)
อย่างไรก็ตามชาวเยอรมันสองคนนี้ไม่มีประสบการณ์ด้านทหารเลยแม้แต่น้อย และไม่มีอะไรสัมพันธ์กับยูเครน ลูกัส อัดบุหรี่ อย่างต่อเนื่อง เขาดึงเสื้อให้กระชับ เขาซื้อถุงมือมาแต่มันไม่ใช่ถุงมือหนังที่เหมาะกับความหนาวของเมืองลวิฟในคืนนั้น
“โปรดมายูเครนเราจะมอบอาวุธให้คุณ”
วันที่ 26 ก.พ.สองวันหลังจากรัสเซียถล่มยูเครนด้วยขีปนาวุธ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีออกแถลงการณ์เชื้อเชิญนานาชาติที่คิดว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับยูเครนให้เข้ามาร่วมรบ“โปรดมายูเครน แล้วเราจะมอบอาวุธให้”
หนึ่งวันหลังจากนั้นกระทรวงกลาโหมยูเครน ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ใครก็ตามที่มาช่วยปกป้องยูเครนและยุโรปสามารถมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวยูเครน เพื่อต่อต้านรัสเซียอาชญากรสงคราม”
ในทางปฏิบัติการเชิญให้คนต่างชาติมาร่วมรบอย่างเปิดเผยไม่เคยมีมาก่อนในสงครามยุคใหม่ การเรียกร้องของยูเครน ทำให้ระลึกถึงการเรียกร้องให้อาสาสมัครร่วมต่อต้านฟาสซิสต์สเปนในทศวรรษ 1930 เมื่ออาสาสมัครกว่า 60,000 คน จาก 50 ประเทศ (จอร์จ โอร์เวล เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น) เร่งรีบเข้าร่วมรบกับฝ่ายสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองสเปน
นักรบต่างชาติเหล่านี้ที่สมัครมายูเครนคาดหวังว่าต้องได้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ ภายใต้สัญญาเป็นอาสาสมัครที่มีสิทธิและผลประโยชน์เท่าเทียมกับนักรบอาสาสมัครกว่าหนึ่งแสนคนชาวยูเครนที่ได้จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรป้องกันประเทศในขอบเขต 25 กองพัน
กองพันทหารอาสาเหล่านี้ เป็นกำลังเสริมให้กับทหารประจำการ 200,000 นาย ในกองทัพยูเครน และ บวกกับกำลังสำรองที่เตรียมไว้ ถือว่าเป็นกองทัพที่ใหญ่อันดับสองของยุโรปตามข้อมูลของสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council of Forien Relation หรือ CFRของสหรัฐ) มีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่มีกองทัพมหึมากว่าในภูมิภาคใหญ่กว่ากองทัพแคระของเพื่อนบ้าน
(โปรดติดตามฉบับต่อไป)
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี