วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
หลังจากทหารยูเครน 2,439 นาย ที่ใช้โรงงานถลุงเหล็กอาซอฟสตอล เป็นป้อมปราการสุดท้ายมอบตัวต่อรัสเซีย ถือได้ว่าที่มั่นสุดท้ายของกองกำลังนาซีใหม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียเรียบร้อยแล้ว
อาทิตย์นี้เสนอบทความพิเศษเรื่อง ชะตากรรมของทหารรับจ้างยุโรป ที่ตั้งเป้าหมายว่า “สังหารทหารรัสเซียเพื่อหารายได้” แต่เจอกับอุปสรรคมากมายสุดท้ายซมซานกลับบ้านโดยไม่ได้เห็นทหารรัสเซียแม้แต่คนเดียว
บทความชิ้นนี้ ถอดความมาจาก วารสารบิสซิเนสอินไซเดอร์ เขียนโดย คาตี ลิฟวิงสโตน ในชื่อเรื่องว่า “สองหนุ่มเยอรมันล่าความฝันว่า ไปสังหารทหารรัสเซียในยูเครน สุดท้ายต้องซมซานกลับบ้าน ไม่ได้เห็นทหารรัสเซียแม้แต่คนเดียว”
เสนอบทความยาวสามตอน เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักการเมือง นักกิจกรรมทั้งหลายที่สนับสนุนให้คนไทยไปช่วยรบยูเครน ได้รับรู้ว่า นักรบรับจ้างที่เห็นโฆษณาชวนเชื่อแล้วมักง่ายสมัครใจไปโดยไม่ไตร่ตรองล่วงหน้าว่า มันซับซ้อนอย่างไรเมื่อไปถึงแล้วต้องเจอปัญหาอะไรที่เกินกว่าจะจินตนาการได้
Insiders เปิดฉากรายงานพิเศษด้วยหนุ่มเยอรมันสองคน เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในโรงแรมที่เมืองลวิฟ ประเทศยูเครน ผู้มาใหม่ตะโกนถามว่า ห้องพักอยู่ที่ไหนและมีห้องน้ำไหม
สองหนุ่มเยอรมันไปถึงยูเครนวันที่ 2 มีนาคม หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าทหารรัสเซียจ่อบุกยูเครน ในโรงแรมเต็มไปด้วยสตรี เด็กเล็กและคนชรา ที่หนีภัยสงครามมาทางตะวันออก ว่าที่ทหารรับจ้างเยอรมันตะลึงงันกับภาพที่เห็นในโรงแรม
แมรี่ กับ แอตเตอร์แรม ตุรกีเชื้อสายยูเครน เป็นผู้ดูแลโรงแรม นอนพักอยู่บนพื้นซีเมนต์ในห้องครัวที่เสริมอุปกรณ์ทำเป็นบังเกอร์ ลุกขึ้นเตรียมชาต้อนรับผู้มาใหม่แล้วให้พวกเขาอธิบายว่ามาทำไม
“พวกเราเป็นทหารอาสาสมัครของกองพันนานาชาติแห่งกองทัพยูเครน” ลูกัสบอกกับผู้ดูแลโรงแรม โธเพียต เพื่อนร่วมทางของเขาพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “พวกเรามาที่นี่เพื่อรบกับรัสเซีย”
แมรี่ กับ แอตเตอร์แรม ขอบคุณในความกล้าหาญของสองหนุ่มเยอรมัน จัดเตรียมเตียงนอนสองชั้นให้แล้วกลับไปนอนต่อ
สองหนุ่มเยอรมันออกไปที่เฉลียงเพื่อสูบบุหรี่และเชิญผมซึ่งเป็นนักข่าวพักอยู่ในโรงแรมนี้ตั้งแต่เริ่มมีสงครามไปร่วมวงสนทนากันจนดึกดื่นในคืนนั้น
ลูกัส แต่งกายฉูดฉาดและสวมรองเท้าเทนนิสน้ำเงินขาว กล่าวว่า เขาอายุ 33 ปี ทำงานกับร้าน IT ของบิดาก่อนหน้าเดินทางมายูเครน เขามีกระเป๋าเดินทางขนาดเขื่องบรรจุสิ่งละอันพันละน้อยที่ใช้ทางการทหาร และมีเงินติดตัวมาเพียงเล็กน้อย พอจ่ายค่าห้องพักได้สองสามคืน
ลูกัส บอกผมภายหลังว่า เขาเบื่อการทำงานร้านIT และอยากหาสิ่งที่ตื่นเต้นกว่า และยูเครนดูเหมือนว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นที่เขาอยากทำตามความฝัน เมื่อเขาบอกครอบครัวและแฟนสาว ว่าเขาจะมาร่วมรบกับกองพันนานาชาติในยูเครน ครอบครัวเขาพยายามนำหนังสือเดินทางของลูกัสไปซ่อน แต่เขาหามันจนเจอและหนีออกมาจากบ้านตอนกลางคืน“ผมตัดสินใจแล้วและไม่มีใครหยุดผมได้” ลูกัสกล่าว
โธเพียตอายุ 44 ปี มีอายุมากกว่าเขาหนึ่งทศวรรษ เป็นคนขายนาฬิกาหรูราคาแพงและใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันสุดสัปดาห์อยู่ในบาร์ในไนท์คลับ เขานำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่กว่า ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความกระตือรือร้นจะร่วมรบสักเท่าไหร่
โธเพียต เล่าว่า เขานอนดูทีวีในบ้านชานเมืองแฟรงก์เฟิร์ต และมีแรงดลใจจากภาพในทีวีที่เห็นเด็กสาวถือปืนคาลาชนิคอฟในเมืองคาร์คีฟ เธอดูเหมือนว่ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูน่า ลูกสาวของเขา
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเป็นลูน่า” เขาเล่าถึงความคิดตอนนั้น “ผมจะปล่อยให้เธอสู้รบอยู่ตามลำพังได้อย่างไร?..”
เมื่อปีกลายพ่อและพี่สาวของเขาล้มละลายเสียร้านขายนาฬิกาหรูไป ด้วยความเสียใจเขาใช้ชีวิตอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกดื่มสุรา เสพยาไม่ได้พบหน้าลูกสองคนถึงหกเดือน
“ครอบครัวคือชีวิตของผม และผมไม่มีพวกเขาอีกต่อไป” เขาบอกว่านี่ไงคือเหตุผลที่เขามายูเครน“เราควรยืนดูอยู่เฉยๆ หรือ” เขาพูดและรำพึงถึงประวัติศาสตร์ชาติของเขาในสงครามโลกครั้งที่สอง“ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย” (เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่สองต่อรัสเซีย=ผู้เขียน)
อย่างไรก็ตามชาวเยอรมันสองคนนี้ไม่มีประสบการณ์ด้านทหารเลยแม้แต่น้อย และไม่มีอะไรสัมพันธ์กับยูเครน ลูกัส อัดบุหรี่ อย่างต่อเนื่อง เขาดึงเสื้อให้กระชับ เขาซื้อถุงมือมาแต่มันไม่ใช่ถุงมือหนังที่เหมาะกับความหนาวของเมืองลวิฟในคืนนั้น
“โปรดมายูเครนเราจะมอบอาวุธให้คุณ”
วันที่ 26 ก.พ.สองวันหลังจากรัสเซียถล่มยูเครนด้วยขีปนาวุธ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีออกแถลงการณ์เชื้อเชิญนานาชาติที่คิดว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับยูเครนให้เข้ามาร่วมรบ“โปรดมายูเครน แล้วเราจะมอบอาวุธให้”
หนึ่งวันหลังจากนั้นกระทรวงกลาโหมยูเครน ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ใครก็ตามที่มาช่วยปกป้องยูเครนและยุโรปสามารถมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวยูเครน เพื่อต่อต้านรัสเซียอาชญากรสงคราม”
ในทางปฏิบัติการเชิญให้คนต่างชาติมาร่วมรบอย่างเปิดเผยไม่เคยมีมาก่อนในสงครามยุคใหม่ การเรียกร้องของยูเครน ทำให้ระลึกถึงการเรียกร้องให้อาสาสมัครร่วมต่อต้านฟาสซิสต์สเปนในทศวรรษ 1930 เมื่ออาสาสมัครกว่า 60,000 คน จาก 50 ประเทศ (จอร์จ โอร์เวล เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น) เร่งรีบเข้าร่วมรบกับฝ่ายสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองสเปน
นักรบต่างชาติเหล่านี้ที่สมัครมายูเครนคาดหวังว่าต้องได้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ ภายใต้สัญญาเป็นอาสาสมัครที่มีสิทธิและผลประโยชน์เท่าเทียมกับนักรบอาสาสมัครกว่าหนึ่งแสนคนชาวยูเครนที่ได้จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรป้องกันประเทศในขอบเขต 25 กองพัน
กองพันทหารอาสาเหล่านี้ เป็นกำลังเสริมให้กับทหารประจำการ 200,000 นาย ในกองทัพยูเครน และ บวกกับกำลังสำรองที่เตรียมไว้ ถือว่าเป็นกองทัพที่ใหญ่อันดับสองของยุโรปตามข้อมูลของสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council of Forien Relation หรือ CFRของสหรัฐ) มีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่มีกองทัพมหึมากว่าในภูมิภาคใหญ่กว่ากองทัพแคระของเพื่อนบ้าน
(โปรดติดตามฉบับต่อไป)
สุทิน วรรณบวร

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี