หลังผ่านพ้นปฏิบัติการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ไม่พบว่ากระแสพรรคเพื่อไทยจะดีขึ้น ไม่พบว่าจะหยุดการ “ไหลออก” ของ สส.คนอื่นๆ และไม่พบ “เสียงชื่นชม” แม้จากคนที่น่าจะเป็น “พวกเดียวกัน”
1) นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ อ.ต้อย ชักธงรบ ได้จัดรายการพิเชษฐ์ ทาบุดดา Talk ผ่านทางเฟซบุ๊คของตัวเอง โดยพูดถึงการเคลื่อนไหวของครอบครัวพรรคเพื่อไทย ที่นำทีมโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจัดเวทีปราศรัยใหญ่ในคอนเซ็ปต์ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ใครเป็นคนคิดยุทธการนี้มันเป็นวิธีการเหมือนไล่มิตรเป็นศัตรู เพราะศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่เสี่ยหนู คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หากเพื่อไทยเคลื่อนไหวรุนแรงในเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอดีตนายใหญ่กับนายอนุทิน จะไม่ดีและจะมองหน้ากันไม่ติด เพราะหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปเพื่อไทย อาจจะต้องไปนั่งจับเข่าคุยกันกับภูมิใจไทยเพื่อผสมพันธุ์ทางการเมืองก็เป็นได้
นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนงูเห่า ที่เพื่อไทยจะมาตีนั้น ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อน การซื้อขายตัว สส.การเมืองไทยก็มีมานาน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น สมัยคุณทักษิณ ก็เคยซื้อตัวพรรคอื่นมาเช่นกัน ดังนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาของวิถีการเมือง เช่นการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมถึงอยู่ได้ ทำไมคนเสื้อแดงไม่ได้ขับไล่ สส.ของประชาธิปัตย์ ก็เพราะว่าระหว่างนายเกรียงกัลป์ตินันท์ ของพรรคเพื่อไทย กับนายวิฑูรย์ นามบุตรหรือนายอิสสระ สมชัย ของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างก็เป็นเพื่อนกัน หากแยกได้ระหว่างเพื่อน และพรรค มันก็สามารถเป็นมิตรกันได้ ไม่จำเป็นต้องเอาเป็นเอาตายกันในทางการเมือง
“ดังนั้นจึงควรถนอมน้ำใจกันไว้ ถ้าคิดอยากจะนำพาพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนเสียงแบบแลนด์สไลด์ ก็ต้องเอาพรรคขนาดกลางไว้ เพราะยังจะต้องไปสู้กับ สว.อีก 250 เสียง” นายพิเชษฐ์ กล่าว
สำหรับพิเชษฐ์ ทาบุดดา เป็นอดีตแกนนำเสื้อแดง “กลุ่มชักธงรบ” ตกเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2558 ศาลฎีกาพิพากษาเป็นจำคุกตลอดชีวิต
ต่อมา 14 ก.พ. 2565 หลังจำคุก 6 ปีกับ 2 เดือนนายพิเชษฐ์ ได้รับอิสรภาพตามเงื่อนไขการลดหย่อนโทษของกรมราชทัณฑ์
ทั้งนี้ นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ ดีเจต้อย เคยพูดถึงนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อหลายปีก่อนว่า “ชาวบ้านเขารักทักษิณจริงๆ ผมก็ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่รักแล้วไม่ใช่เป็นขี้ข้า เรารักแล้วเป็นพันธมิตรกัน สิ่งไหนดี ผมว่าดี สิ่งไหนไม่ถูกต้อง ก็ต้องบอก ต้องด่า คุณทักษิณก็ไม่ใช่เทวดาแล้วอย่างนี้ผมผิดอะไร”
2) ต้องยอมรับว่า การอยู่ในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ใช่ว่าจะอยู่กันง่ายๆ มีการกดขี่ ชิงดีชิงเด่น และแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอย่างหนักหนาสาหัส ดังนั้น การมีคนอยากจะย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดเลย
เรื่องเละเทะภายในพรรค ต้องอ่านความในใจของสองคนนี้ครับ
2.1 เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2564 นายศรัณย์วุฒิศรัณย์เกตุ สส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์หลังจากพรรคเพื่อไทยมีมติขับเขาออกจากพรรค มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า
“...ผมได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยในปี 2541 โดยร่วมกับท่านนายกฯ ทักษิณ และผู้ร่วมก่อตั้งเข้ามาสร้างนโยบายเป็นส่วนหนึ่งในการวางเสาหลักของพรรคผมลงสมัครในนามพรรคที่อุตรดิตถ์และได้รับการเลือกตั้ง ถึงแม้พรรคจะเจอมรสุมถูกทำลายจากอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ ถูกกลั่นแกล้งยุบพรรค เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนกรรมการมากี่ชุด ก็ไม่ได้ย่อท้อทิ้งพรรค ผมถูกกลั่นแกล้งรังแกจากคนบางกลุ่มในพรรคอย่างไร ก็ไม่เคยท้อถอย เพราะอยากจะยืนหยัดต่อสู้เผด็จการ สร้างพรรคให้เป็นที่พึ่งที่หวังของพี่น้องประชาชน
ต่อมาเมื่อผู้ใหญ่ในพรรคที่ผมเคารพยังถูกรังแกและขอให้ผมกลับมาร่วมต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ผมจึงกลับมาและได้ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งในพื้นที่และในสภา ใช้ทุกเวทีที่มีอยู่ในการต่อสู้ โดยเฉพาะในสภา ในโอกาสของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมตั้งใจทำหน้าที่ให้พรรค และพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถอย่างสมศักดิ์ศรีมาโดยตลอด
สำหรับครั้งล่าสุดก็เช่นกัน ผมตั้งใจเตรียมทำข้อมูลอย่างดีที่สุด เพื่ออภิปรายแฉความชั่วร้ายของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมทำอย่างเปิดเผย มิได้มีการแอบมุบมิบในการปฏิบัติแต่อย่างใด ผมกล้าพูดความจริงอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด ผมกล้ายืนในที่สว่าง ไม่ยืนในที่มืด ไฟทุกดวงส่องถึง พิสูจน์ได้ กรณีของผม ต่างจากเพื่อน สส. ท่านอื่นโดยสิ้นเชิง เพราะที่ผ่านมาการโหวตของผม ผมไม่เคยแหกมติพรรค แม้หลายครั้งที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ครั้งนี้เป็นความเห็นต่างและที่ต้องขัดแย้งกับผู้มีอำนาจในพรรค ที่เรียกว่า “นักรบห้องแอร์ พูดเก่ง ได้แต่ประชุม”
นักรบห้องแอร์เขาคิดได้แค่จะเอาชนะศึกเท่านั้น ไม่สามารถคิดที่จะเอาชนะสงครามได้ ผมถูกพวกนี้กลั่นแกล้งมาโดยตลอด ดูจากร่องรอยการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา แกล้งกดดันเรื่องเวลา อย่างเช่นครั้งนี้ รับปากให้เวลาผม1 ชั่วโมง สุดท้ายตัดชื่อผมออก ไม่ให้อภิปราย ทั้งที่เวลาฝ่ายค้านยังเหลืออีกหลายชั่วโมง
พวกเขามีวิธีปกครองแบบอำนาจนิยม แต่ไม่สร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งผมต่อสู้มาตลอด ใครไม่อยู่ในก๊ก ไม่ทำตาม ก็ถูกกลั่นแกล้ง กล่าวหาว่าผมใส่ร้ายป้ายสีพรรค
ศรัณย์วุฒิคนจริง ขอยืนยันว่าที่พูดไปทั้งหมด เป็นความจริงทุกประการ ไม่ใช่การกล่าวหาหรือป้ายสีแต่อย่างใด
ผมกล้าเอาความจริงในพรรคมาพูด ก็เพื่อหวังดีต่อพรรคที่กำลังถูกคนกลุ่มนี้ที่ขึ้นมามีอำนาจบริหารพรรค แทนที่คนกลุ่มนี้จะทำให้พรรคเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนแต่กลับใช้พรรคเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเองและพวกพ้อง แต่ทอดทิ้งประชาชนที่มีการกล่าวอ้างอุดมการณ์ มันเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งสิ้น มีแต่แสวงหาความมักใหญ่ใฝ่สูงให้ตัวเองและพรรคพวก...”
2.2 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2565 นายการุณ โหสกุล สส.กทม. พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คถึงกรณีที่โพสต์ข้อความในทำนองว่าจะออกจากพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ โดยระบุถึงปัญหาการทำงานในพรรคเพื่อไทยในระยะหลัง เนื่องจากถูกเข้าใจว่า สนิทสนมกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งเป็นอดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย จนทำให้ผู้ใหญ่ และแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนไม่ชอบใจ จนเลือกที่จะไม่เข้าประชุมใดๆ ของพรรค แต่ก็ถูกตำหนิ ทั้งที่ร่วมต่อสู้กับพรรคในยามที่ลำบาก จนโดนคดีมาไม่รู้กี่คดี แต่ด้วยอคติในใจ ทำกับตนเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัว ยัดเยียดข้อหาว่า ตนจะหนีจากพรรค ตรงข้ามตนต่างหากที่กำลังถูกบีบให้ต้องออกจากพรรคไปอย่างเจ็บปวด
“ในอนาคตจะติดคุกเหมือนกับเพื่อนๆ หลายคนที่โดนมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมทนได้เพราะผมรู้ว่าผมต่อสู้เพื่อประชาชน แต่ผมจะไม่ทนไอ้พวก “นักรบห้องแอร์” ที่ไม่เคยแม้แต่ลงพื้นที่ มากระทำย่ำยีกับผมอย่างเด็ดขาด” นายการุณ ระบุ
3) ส่วนเรื่อง “การดูด สส.” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ บีบีซีไทยรายงานว่า “...ในยุคพรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ (2544-2549) ที่มีทั้งการดูดรายบุคคล รายกลุ่มการเมือง และดูดแบบยกพรรค จนทำให้การเมืองเหลือเพียง 2 ขั้วตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ซึ่งนายถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ซื้อยกเข่งเซ้งยกพรรค”
พรรคไทยรักไทยเปิดฉากดูด สส. ทันทีหลังชนะการเลือกตั้ง 6 ม.ค. 2544 ซึ่งเป็นการลงสนามครั้งแรกของพรรค จนสามารถจัดตั้งรัฐบาล 324 เสียงได้ ประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย (ทรท.) 248 เสียง พรรคความหวังใหม่ (ควม.) 36 เสียง และพรรคชาติไทย (ชท.) 40 เสียงส่งนายทักษิณถึงฝั่งฝันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23
ผ่านไปเพียง 4 เดือน นายทักษิณได้ดูดพรรคเสรีธรรมของนายประจวบ ไชยสาส์น ซึ่งขณะนั้นเป็นฝ่ายค้าน14 เสียงมาไว้ใต้สังกัด ส่งผลให้ยอด สส. ของ ทรท. ขยับขึ้นเป็น 262 เสียง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พรรคแกนนำรัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาห้าร้อย
ทว่าปฏิบัติการดูดยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น พรรคอันดับ 4 ในสภาอย่างพรรคความหวังใหม่ (ควม.) แม้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ก็ยังถูกสลายให้กลายเป็นเนื้อเดียวกับ ทรท. เพื่อเพิ่มยอดผู้แทนฯ ให้พรรคทักษิณ โดยดูดไปได้ 33 จาก 36 เสียง พร้อมสร้างตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษาพรรค” ทรท. ให้แก่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตหัวหน้าพรรค
สรุป :
1. เช่นนี้แล้ว ปฏิบัติการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” จึงเป็นเพียง “ความก้าวร้าว-ตอแหล” ที่ลืมกำพืดตัวเอง ลืมสิ่งที่ตัวเองทำ และโยนขี้ใส่คนอื่นเท่านั้น
2. พรรคเพื่อไทย มีเฮียเพ้ง-พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นแม่ทัพอีสาน ต้องไปหาคำตอบว่า ยุทธศาสตร์ “ไล่หนู ตีงูเห่า” เฮียเพ้งเป็นคนคิดหรือไม่ ถ้าใช่ ก็นับว่าพลาดมาก ประสบการณ์ไม่ช่วยให้มี “วุฒิภาวะทางการเมือง” พอ ที่จะเดินหมากอย่างสุขุม รอบคอบ
3. ส่วนทักษิณ ไม่ต้องพูดถึง ทั้งโกรธ ทั้งกลัว เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาหวังมาก ที่จะดึงอำนาจทางการเมืองกลับมาให้มากที่สุด หากมากพอที่จะเป็นรัฐบาลแต่เพียงพรรคเดียวก็ยิ่งดี จนลืมไปว่า ยังต้องมี “มิตรทางการเมือง” ไว้สำหรับ “เผื่อเหลือเผื่อขาด” และคนทั้งจักรวาลต่างก็คิดเหมือนกันว่า พรรคภูมิใจไทย คือพรรคที่สวิงได้ทั้งสองขั้ว นี่เปิดเกมรบกับภูมิใจไทยแบบ “ก้าวร้าว” อย่างนี้ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า อย่างที่ พิเชษฐ์ ทาบุดดา เตือนเลยหรืออย่างไร
ผมคิดว่า ด้วยความโกรธจนหน้ามืด หรือด้วยความหลงตนเอง หรือด้วยความกลัวจนลนลาน พล่านจนไร้สติ หรืออาจเกิดจาก “แรงยุ” ของ “พวกหางาน” ที่ต้องการกลับเข้ามามีบทบาทในพรรคก็เป็นได้ทั้งสิ้น ทำให้ปฏิบัติการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” เกิดขึ้น
และเมื่อเกิดแล้ว ถึงได้รู้ว่า “ดับ”
รอดูว่า จะมีปฏิบัติการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ในที่อื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่ เช่นที่โคราช เป็นต้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี