หลายคนอาจเคยสงสัย ทำไมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มันสำคัญยังไง?
ทำไมไปส่งเสริมการลงทุนภาคธุรกิจอุตสาหกรรมบางกลุ่ม?
เงินในธนาคารต่างๆ มีมากมาย สภาพคล่องล้น ทำไมรัฐบาลไม่สั่งแบงก์พาณิชย์เอาเงินออกมาให้คนกู้?
นี่เป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีของประเทศ พยายามอธิบายให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงว่า ประเทศเรากำลังจะเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้อย่างไร?
1. เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แถลงว่าด้วยเรื่อง “กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต” ระบุถึงกลยุทธ์ในการสร้างอนาคตของประเทศ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
นายกฯ ชี้ว่า ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงระยะสั้นๆ ได้ดำเนินนโยบายระยะสั้น แก้ปัญหาความยากจนเฉพาะหน้า หรือมีโครงการลดแลกแจกแถมต่างๆบางโครงการเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่โครงการแบบนั้นไม่ใช่วิธีที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน และวิธีการเหล่านั้นไม่ทำให้ใครรวยขึ้นมาได้
เป็นที่มาของ “กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต” ที่มีมากกว่าโครงการลดแลกแจกแถม ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ทั่วไปที่เป็นเหมือนยาทาบรรเทาอาการ แต่ไม่ได้เพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อ เพิ่มสมรรถภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก
2. “กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต” ของพลเอกประยุทธ์ อาจเปรียบได้ว่าเป็น “ลูกศร 3 ดอกของลุงตู่”
พึงทราบว่า พื้นฐานการบริหารเศรษฐกิจมหภาค แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ นโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กนง. เป็นคนบริหารจัดการ โดยเป็นอิสระจากคำสั่งของรัฐบาล ดูแลอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน กำกับดูแลระบบการเงินการธนาคาร
ส่วนที่สอง คือ นโยบายการคลัง รัฐบาลเป็นผู้บริหารจัดการโดยตรง ผ่านการจัดทำงบประมาณ โครงการต่างๆจะอัดฉีดเงินสู่กลุ่มเป้าหมายใด นโยบายมุ่งลงทุนภาคส่วนไหนนายกฯ ผู้นำรัฐบาลเป็นคนมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ
เนื้อหา “กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต” จึงไม่ได้กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน เพราะนายกฯ เคยชี้แจงไว้ก่อนแล้วว่า ให้กระทรวงการคลังประสานการทำงานกับแบงก์ชาติ ซึ่งถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นนายกฯ จะมาพูดเอง
นายกฯ ไม่ได้พูด ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนดูแลแก้ไขจัดการ
3. สร้างไปทำไม โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ?
กว่าทศวรรษก่อนปี 2557 ประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ เลย
ถนนลงใต้ผุพัง ถนนมิตรภาพไปอีสาน เคยเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
รัฐบาลก่อนๆ นี้ คุยโวสารพัด แต่สุดท้ายโครงการทั้งหลายอยู่ในกระดาษ อยู่ในอากาศ เป็นเหมือนละอองน้ำลายของนักการเมืองเท่านั้น แถมบางโครงการยังกลายเป็นภาระของแผ่นดินอย่างเช่น โครงการโฮปเวลล์
ยุคนี้ ไม่มีคำคุยโว แต่ลงมือทำจริง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมายเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟ สนามบิน ถนน รถไฟความเร็วสูง และท่าเรือ เสริมศักยภาพโลจิสติกส์ให้แก่ประเทศ และเชื่อมโยงกับต่างประเทศ
นี่คือ 1 ใน 3 แกน หรือนับเป็นลูกศรดอกแรก
ลองนึกตาม ปัจจุบัน มีสะพานเชื่อมไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเปิดใช้งานแล้ว 11 แห่ง เป็นสะพานเชื่อมระหว่างไทย - สปป.ลาว 5 แห่ง สะพานเชื่อมระหว่างไทย - เมียนมา 3 แห่ง สะพานเชื่อมระหว่างไทย - มาเลเซีย 2 แห่ง สะพานเชื่อมระหว่างไทย - กัมพูชา 1 แห่ง นอกจากนี้ สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ กำลังก่อสร้าง และยังมีสะพานที่อยู่ในแผนจะดำเนินการในอนาคตอันใกล้อีก 3 สะพาน ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 6 (อุบลราชธานี - สาละวัน) จังหวัดอุบลราชธานี สะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
มีการเร่งรัดการก่อสร้างโครงข่ายรถไฟทางคู่ พัฒนาศักยภาพด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารผ่านระบบราง เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของประเทศ ปัจจุบันสามารถพัฒนารถไฟทางคู่ทุกภูมิภาคแล้ว 1,110 กิโลเมตร จากทั้งหมด 3,200 กิโลเมตร มีเส้นทางสายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และบ้านไผ่-มหาสารคาม-มุกดาหาร-นครพนม นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงอีก 2 เส้นทาง ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา (อนาคต จะขยายต่อไปถึงจังหวัดหนองคาย เพื่อเชื่อมต่อรถไฟความ สปป.ลาว-จีน) และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา)
ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายท่าเรือบกเพิ่มเติมอีก 4 แห่ง
มีการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอาเซียน ควบคู่กับพัฒนาสนามบินในเมืองภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี หาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ และบุรีรัมย์ รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
ลูกศรดอกแรกของลุงตู่ คือ การทำให้โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ซึ่งการลงทุนต้องใช้เวลายาวนาน แต่ปัจจุบัน บางโครงการเสร็จแล้ว บางโครงการใกล้เสร็จ ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการจะสอดประสานกัน เพิ่มประสิทธิภาพรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งการค้าขาย การคมนาคมขนส่ง การเดินทางท่องเที่ยว จะเป็นเสมือนเส้นเลือดนำเงินออกไปสู่ภาคส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ
4. เดินหน้าอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายกฯ ลุงตู่ หยิบยกอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศ คือ ยานยนต์ไฟฟ้า ว่าจะต้องล็อกผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกยังคงอยู่กับประเทศไทย และดึงดูดให้ลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทยในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า มีราคาถูกลงสำหรับคนไทย
บางคนอาจนึกว่าเพ้อฝัน แต่ความจริง ประเทศไทยก้าวไปไกลพอสมควร
สำหรับแผนของบริษัทรถยนต์ต่างๆต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(BEV) ในประเทศไทย พ.ศ.2565 ซึ่งแฟนเพจ Thailand Development Report รวบรวมไว้ สรุปความว่า การผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยมีความชัดเจนมากขึ้นแพ็กเกจอีวีของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมครม.เรียบร้อย โดยมีมาตรการสนับสนุน ทั้งการลดภาษี และการให้เงินอุดหนุน
ปัจจุบัน มีค่ายรถยนต์ให้ความสนใจและลงนามข้อตกลง เข้าร่วมโครงการสนับสนุน ev จากภาครัฐหลายแบรนด์ ทั้ง Greatwall, MG และ Toyota โดย 2 รายแรกนั้น ได้เริ่มวางจําหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แพ็กเกจสนับสนุนแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมยอดจําหน่ายทั้ง 2 แบรนด์กว่า 3,500 คัน ขณะที่โตโยต้าคาดว่าจะเริ่มวางจําหน่ายรถไฟฟ้ารุ่น Bz4x ภายในสิ้นปีนี้ในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
“แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเร่งเข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตในประเทศไทยเป็นจํานวนมาก ทั้ง MG, Greatwall และ BYD โดยสําหรับ BYD แล้ว ในฐานะบริษัทอีวีที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก จะเป็นการตั้งฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในต่างประเทศครั้งแรก ด้วยเงินลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท พร้อมจับมือพันธมิตรท้องถิ่นที่มีประสบการณ์”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น EQS ไปแล้ว เตรียมพร้อมไลน์ประกอบรถยนต์ไฟฟ้าไว้ ลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง (TESM)เพื่อป้อนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ทั้งรถปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์
BMW ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาบริษัทแม่ นํารถไฟฟ้าเข้ามาประกอบ โดยตอนนี้เน้นนําเข้ามาจําหน่ายก่อน
บริษัทไทย Nexpoint นําโดยเครือพลังงานบริสุทธิ์ได้เริ่มเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาภายใต้แบรนด์ NEX และ Minemobility ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการหลายราย ปัจจุบันบริษัทวางจําหน่ายรถโดยสารและรถบรรทุกประเภทต่างๆ รวมถึงในอนาคตมีแผนที่จะนํารถตู้และรถกระบะเข้ามาเสริมทัพอีกด้วย
ส่วนเครือปตท. ได้ลงนามกับสตาร์ทอัพสัญชาติจีน NETA ฯลฯ
คาดว่าในปีนี้ จะมียอดจําหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกว่า 1 หมื่นคัน
นอกจากนี้ การผลักดันเครื่องจักรใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย เช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นพื้นที่การลงทุนและแหล่งบ่มเพาะ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ การพัฒนา “เมืองแห่งนวัตกรรม” หรือเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ให้เป็น “ซิลิคอนวัลเลย์” ของเมืองไทย ตลอดจน “เมืองใหม่อัจฉริยะด้วยนวัตกรรม” หรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ก็เกิดขึ้นจริงจังในยุคนี้
อนาคต ไทยจะต้องเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกอุตสาหกรรมที่ทันยุคทันสมัย มีเงินเข้าประเทศ คนไทยมีงานทำมีรายได้ นี่คือลูกศรดอกที่ 2 ของลุงตู่
5. คนไทยเข้าถึงสินเชื่อธนาคารพาณิชย์
นายกฯ ชี้ว่า ประชากรไทยกว่า 30 ล้านคนไม่สามารถกู้เงินได้ บางคนไม่มีแม้แต่บัญชีธนาคาร ขาดโอกาสสร้างอนาคตและความมั่งคั่งให้ตัวเอง ขณะที่ธนาคารต่างประเทศใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และขยายเงินกู้ออกไปได้กว้างขึ้น หากผู้คนที่มีความสามารถได้เข้าถึงเงินกู้ได้มากกว่าเดิม ช่วยให้ประเทศมั่งคั่งร่ำรวยได้เร็วขึ้น
นี่คือลูกศรดอกที่ 3 พุ่งเป้าไปที่ระบบธนาคารและสถาบันการเงิน
ล่าสุด ธนาคารใหญ่บางรายได้ประกาศกลยุทธ์ทางธุรกิจของตนในการจะขยายการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ด้วยมูลค่าการลงทุนเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กว่าแสนล้านบาท
6. ลูกศร 3 ดอก ของลุงตู่ อาจจะไม่ดูหรูหรา นำเสนอไม่เร้าใจ ไม่เหมือนนักการตลาด นักขายฝัน นักสร้างภาพการเมืองอีกหลายๆ คน แต่ทั้งหมด อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นแล้ว ใกล้เสร็จแล้ว กำลังจะเกิดดอกออกผลในระยะเวลาราว 2-3 ปีข้างหน้านี้
การลงพื้นที่ต่างจังหวัดของนายกฯ ระยะหลัง จึงแตกต่างจากการลงไปสร้างภาพหาเสียง สัญญาปากเปล่าของนักการเมืองในอดีต เพราะเป็นการไปติดตามงานพัฒนาต่างๆ ที่ลงมือทำแล้ว บางส่วนออกดอกออกผลสำเร็จแล้ว โดยจะเห็นว่านายกฯ ได้ติดตามการแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน ล่าสุด ช่วยเหลือแล้ว 602,572 ครัวเรือน ในพื้นที่ 5 จังหวัดตัวอย่าง โดยใช้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform) หรือ TPMAP เป็นฐานข้อมูลในการขับเคลื่อน เพื่อขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาคนทุกช่วงวัย
หลังจากนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิดซา การท่องเที่ยวค่อยๆ กลับมาแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ งานรื่นเริง สถานบริการบันเทิง กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นการใช้จ่าย กลับมาคึกคัก การส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตร เติบโตก้าวกระโดด ขณะที่ความมั่นคงของเศรษฐกิจมหภาคยังคงแข็งแกร่ง ทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าหนี้ต่างประเทศมาก และสูงติดอันดับ 12 ของโลก
ลูกศร 3 ดอกของลุงตู่ ปักหมุดเชื่อมโยงให้เห็นภาพรวมว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปอย่างมีเป้าหมาย มีอนาคตที่ดีจริงๆ มีโอกาสสำหรับผู้ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้จะล่มสลายไร้อนาคต เหมือนที่นักการเมืองผู้ต้องการแย่งชิงอำนาจรัฐปั่นกระแสโจมตีอยู่เลย
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี