วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ตลอดประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงบัดนี้ จัดได้ว่าเราเป็นประเทศที่สามารถมองออกไปข้างนอกในโลกกว้าง ทำการข้องแวะ และคบหาสมาคมกับประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีการจัดทำความตกลงต่างๆเพื่อวางรูปแบบความสัมพันธ์ และการมีมิตรไมตรีต่อกัน จนเมื่อวงการโลกมีการจัดทำข้อตกลงแบบหลายๆ ฝ่าย
(พหุภาคี) นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ราชอาณาจักรไทยก็ได้เข้าร่วมเป็นภาคี และผูกมัดตนเองกับพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น ในกรณีสันนิบาตระหว่างชาติ (The League of Nations) ซึ่งเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นกรณีองค์การสหประชาชาติ (The United Nations) ซึ่งในกรอบองค์การสหประชาชาตินี้ ไทยเองได้เข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญา สนธิสัญญา และพิธีสารต่างๆ มากมาย ไปจนถึงการเข้าร่วมสนับสนุนข้อมติต่างๆ ของสหประชาชาติ (Resolutions) เพื่อดำเนินกิจการหนึ่งใดร่วมกันกับนานาประเทศ เพื่อจรรโลงสันติภาพ ความมั่นคง และการร่วมมือพัฒนาต่างๆ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแสดงออกซึ่งความเป็นสากลของราชอาณาจักรไทย ที่จะวางตนและกระทำตนตามกฎเกณฑ์กติการะหว่างประเทศได้ เรียกได้ว่าไทยนั้นมีความทันสมัย และพร้อมที่จะร่วมรับผิดชอบต่อความเป็นไปในโลกกว้างของการเป็นรัฐเอกราชและมีขีดความสามารถในการที่จะทำการหนึ่งใดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาคมโลกอย่างทัดเทียม สง่างาม และไม่น้อยหน้า
ในบรรดาข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเรียกว่าอนุสัญญา หรือพิธีสาร ไทยได้เข้าเป็นภาคีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการรับและรับรองว่า ราชอาณาจักรไทยมีพันธกรณี และพร้อมที่จะปฏิบัติตาม แต่ก็ยังมีข้อตกลงระหว่างประเทศบางฉบับที่ราชอาณาจักรไทยยังมีความลังเลใจไม่เข้าร่วม ทั้งในการลงนาม และในการให้สัตยาบันเนื่องจากสังคมไทยส่วนหนึ่งก็ยังมีความคิดอ่านว่า ข้อตกลงต่างๆ นั้นมักจะเป็นเรื่องที่ริเริ่มโดยประเทศพัฒนาแล้ว ที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมหรือเป็นประเทศที่มีอิทธิพล มีความใหญ่โตทั้งทางด้านเศรษฐกิจและแสนยานุภาพทางการทหาร และฉะนั้นหากไปเห็นดีเห็นงามกับข้อตกลงต่างๆ ก็เสมือนว่า ไทยยอมรับอิทธิพลและการครอบงำของฝ่ายตะวันตกโดยปริยาย
นอกจากนั้นก็ยังมีประเด็นปัญหาของการตีความว่า การรับเข้ามาซึ่งพันธกรณีระหว่างประเทศนั้น มีผลกระทบหรือ
ผลประโยชน์ต่อใครแน่ในรัฐภาคี และโดยทั่วไปแล้วการตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจในการเข้าร่วมเป็นภาคี เพื่อรับพันธกรณีต่างๆ นั้นมักจะเป็นการตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาลผู้บริหารจัดการประเทศ และในหลายๆ กรณี ฝ่ายรัฐบาลหรือกลุ่มผู้บริหารประเทศจะคิดถึงผลได้ผลเสียต่อตนเองเป็นสำคัญ มากกว่าที่จะคิดคำนึงถึงผลประโยชน์มากน้อยเพียงใดของประชาชนพลเมือง หรืออาจจะมองข้ามถึงสถานะและศักดิ์ศรี การเคารพนับถือของประชาคมโลกต่อรัฐไทย
ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ มีวันแห่งความยุติธรรมของโลก (World Justice Day) ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคมนี้
ก็มีนักคิด นักวิชาการ กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนาเฉลิมฉลองวันยุติธรรมโลกดังกล่าว โดยการหยิบยกประเด็นเรื่อง ราชอาณาจักรไทย กับกฎบัตรแห่งกรุงโรม(Rome Statue) ที่จัดตั้งศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ข้อตกลงดังกล่าว แม้ราชอาณาจักรไทยได้ลงนามไปในช่วงสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 2 แต่ยังมิได้มีการให้สัตยาบันจนถึงบัดนี้ ซึ่งความล่าช้าและการไม่ยอมตัดสินใจ เพื่อให้มีการให้สัตยาบันโดยรัฐสภา ก็มีสาเหตุสืบเนื่องมา 2-3 ประการคือ
1. หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ของไทยยังประสงค์ที่จะรักษาสถานะ และอำนาจของตนเองไว้ เพื่อมิให้ต้องถูกตั้งข้อหาโดยองค์การระหว่างประเทศในกรณีใดๆ
2. ฝ่ายอนุรักษ์นิยมของสังคมไทย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายกองทัพไทย มองว่า หากเกิดความผิดพลาดไป
กระทำการหนึ่งใดที่เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมล้างฆ่า ล้างผลาญมวลมนุษยชาติ ตามกฎบัตรแห่งกรุงโรม ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเท้าความโยงใยไปถึงพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยได้
3. ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายปกครอง มองว่าความมั่นคงของรัฐ คือเสถียรภาพตนเองเป็นสำคัญ มากกว่าที่จะคิดถึงความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของประชาชนพลเมือง ซึ่งหากเอาเรื่องประชาชนพลเมืองเป็นตัวตั้ง ก็ควรจะต้องมีการทบทวนเป้าหมายและสาระเนื้อหาของข้อตกลง หรือกฎบัตรแห่งกรุงโรมนี้ ให้แน่ชัดและถ่องแท้ยิ่งขึ้น อีกทั้งก็ต้องคำนึงด้วยว่า หลายๆ ประเทศที่เป็นราชอาณาจักร และเป็นสังคมประชาธิปไตยต่างได้ให้สัตยาบันและเข้าเป็นภาคีกฎบัตรแห่งกรุงโรม และสมาชิกของศาล ICC กันอย่างสง่างาม และไม่หวาดหวั่น หวั่นไหวว่า ศาล ICC จะเข้ามาคุกคามสถานะขององค์ประมุขของตนได้ ด้วยราชอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ต่างตระหนักอย่างชัดเจนว่า องค์ประมุขนั้นเป็นจอมทัพของตามประเพณีปฏิบัติ ถือเป็นสัญลักษณ์ ส่งผลให้การลงพระปรมาภิไธยใดๆนั้น ย่อมเป็นไปตามตัวบท สาระเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเป็นไปตามข้อเสนอและตามความรับผิดชอบขององค์กรรัฐต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา โดยองค์ประมุขเองมิได้มีส่วนในการเข้าไปบริหารจัดการ หรือสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น และฉะนั้นก็มิต้องมีส่วนรับผิดชอบใดๆ เพราะเป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมือง
กล่าวโดยรวมข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ และโดยเฉพาะในกรณีของ ICC นี้ มีเนื้อหาใจความอันสำคัญว่า เป็นการป้องกันป้องปราม และกำชับ มิให้ผู้มีอำนาจรัฐข่มเหงรังแกทำร้ายประชาชนพลเมืองของตนเอง ซึ่งถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศมิสามารถให้ความยุติธรรมและปกป้องประชาชนพลเมืองได้ ด้วยความอ่อนแอของกระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการยุติธรรมถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมืองแล้ว อย่างน้อยประชาชนพลเมืองก็ยังจะมีศาล ICC เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองและนำมาซึ่งความยุติธรรมและความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ไปจนถึงการลงโทษบรรดาผู้ปกครอง หรือผู้ใช้อำนาจรัฐที่ประพฤติมิชอบได้
ฉะนั้น ศาล ICC จึงเป็นมิตรต่อประชาชนพลเมืองตาดำๆและเป็นเสมือนเกราะป้องกันประชาชนพลเมืองมิให้ถูกทำร้ายโดยกลุ่มผู้ปกครอง และหากทำร้ายไปแล้วก็จะนำบรรดาผู้ปกครองที่ฉาวโฉ่โหดร้ายเช่นนั้น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เข้ารับโทษตามแต่จะเห็นสมควรต่อไป
ณ วันนี้ ประชาชนพลเมืองหรือสาธารณชนโดยทั่วไป ควรได้รับรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาล ICC อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนพลเมือง และยังเป็นการป้องกันมิให้เกิดการลอยตัว ลอยนวล ของบรรดาผู้ปกครองประเทศที่ได้กระทำการชั่วร้ายต่อประชาชนพลเมืองของตน
ฉะนั้นฝ่ายการเมืองทั้งพรรคการเมือง ฝ่ายผู้บริหารประเทศ และแวดวงวิชาการ และสื่อก็ต้องตระหนักในเรื่องนี้ว่า ศาล ICC มีอยู่ก็เพื่อประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ และฉะนั้นไม่มีเหตุผลอันใดที่ราชอาณาจักรไทยจะเฉยเมยต่อศาล ICC และการเฉยเมยก็เท่ากับเป็นการปกป้องคุ้มครองความชั่วร้ายด้วยฝีมือของผู้ปกครองทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี