การนับเวลาเงื่อนไขข้อจำกัดมิให้เป็นนายกฯ เกิน 8 ปี จะสิ้นสุดลง 24 สิงหาคม 2565 หรือยังเป็นต่อได้อีกสมัยหนึ่ง ?
วันนี้ ขอเสนอมุมมองที่น่าสนใจจาก ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม “ดร.ณัฐฎ์” นักกฎหมายมหาชน
ชี้ประเด็นว่า เบื้องต้น จะต้องแยกระหว่าง “การนับระยะเวลา” ในเชิงรัฐศาสตร์กับการตีความกฎหมายมหาชน มีความแตกต่างกัน
ดร.ณัฐฎ์กล่าวว่า หลักทั่วไป ตามบทบัญญัติของกฎหมายต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งกฎหมายเอกชน หากไม่ได้บัญญัติห้ามไว้สามารถกระทำได้ ส่วนกฎหมายมหาชน กลับตรงกันข้าม มีความแตกต่างกัน หากไม่ได้บัญญัติไว้ไม่สามารถกระทำได้
ปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 158 วรรคท้าย “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้” ต้องพิจารณามาตราอื่นประกอบเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เช่น คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ที่มาของนายกรัฐมนตรี และหลักการบริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่อง รวมถึงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด
โดยช่องทางดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็่นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายมาตรา 158 วรรคท้ายกับมาตรา 264 คำว่า “จะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีไม่ได้” กับมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ที่ว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
ในทางกฎหมายมหาชน 2 มาตรานี้ ต้องแยกเจตนารมณ์ต่างกัน
(1) การใช้อำนาจในการควบคุมฝ่ายบริหาร
(2) การใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน
การใช้อำนาจควบคุมฝ่ายบริหารตามมาตรา 158 วรรคท้าย “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้” ต้องพิจารณาประกอบว่าใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 159 โดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ลงมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่ทั้งหมดมีอยู่ทั้งสองสภา จึงแต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งให้นับเวลาจุดเริ่มต้นในวันนี้
ปัญหาว่า ภายหลังรัฐประหาร วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะนำมานับรวมได้หรือไม่ ตรงนี้ต้องกลับไปดูเจตนารมณ์การบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งในมาตรา 264 วรรคหนึ่ง “เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” เป็นหลักการบริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่อง ประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาตามหลักนิติรัฐและแบ่งแยกอำนาจย่อมบัญญัติไว้เช่นนี้เพื่อป้องกันสุญญากาศทางการเมือง
แม้ไม่ได้บัญญัติข้อยกเว้นในมาตรา 158 วรรคท้าย แต่“หลักการควบคุมการใช้อำนาจ” กับ “หลักการบริหารราชการแผ่นดิน” ถือเป็นคนกรณีกัน
เพราะการบริหารราชการแผ่นดินจะต้องต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดช่องว่างในสถานะความเป็นรัฐชาติ
หากนับการดำรงตำแหน่งและที่มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร นับแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 จนถึงปัจจุบันถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2565 สถานะนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งยังไม่สิ้นสุดไปตามมาตรา 158 วรรคท้าย
กรณีดังกล่าว ไม่ใช่อภินิหารกฎหมายอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม เรื่องการนับระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญ สามารถใช้ช่องมาตรา 82 วรรคหนึ่งยื่นต่อประธานรัฐสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบสมาชิกภาพได้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แต่ต้องยื่นหลังพ้นวันที่ 24 สิงหาคม 2565 แล้วถึงจะเกิดอำนาจตีความของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะศาลไม่มีหน้าที่อธิบายกฎหมาย
แต่หากพิจารณาตามแนวทางข้างต้น เท่ากับว่า ลุงตู่ยังมีโอกาสเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี