ณ วันนี้ บ้านเมืองไทยก็เหมือนกับบ้านเมืองอื่นๆทั่วโลก ที่กำลังประสบปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง ชีวิตประจำวันอัตคัดขัดสน ความเหลื่อมล้ำในสังคมขยายตัวมากขึ้น แถมสังคมยังต้องหวาดหวั่นกับโรคโควิด-19 และการคุกคามระลอกใหม่ของโรคฝีดาษลิง ไปจนถึงแนวโน้มการจะทำการประหัตประหารกันระหว่างประเทศมหาอำนาจและพันธมิตร ซึ่งรัฐบาลประเทศต่างๆ ก็กำลังเพียรพยายามที่จะแก้ไขประเด็นปัญหากันตามขีดความสามารถและจิตสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่
แต่ในสังคมการเมืองไทยเรากลับได้เห็นแต่ข่าวคราวว่าด้วยการชิงดีชิงเด่น เล่นเชิงชิงไหวชิงพริบกัน โดยเฉพาะในรัฐสภาอันทรงเกียรติ ที่มักจะอ้างตนว่าเป็นตัวแทนและผู้รับใช้ประชาชนพลเมืองและสังคม โดยข่าวครึกโครมในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา มักจะเป็นเรื่องการขัดแย้งกันภายในพรรคการเมืองต่างๆ การย้ายเข้าย้ายออกจากพรรคการเมืองหนึ่งสู่พรรคการเมืองหนึ่ง รวมทั้งข่าวการเป็นงูเห่า หรือลิงกินกล้วย ไปจนถึงการทยอยจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่อย่างง่ายดาย เสมือนการผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ขณะที่ผู้นำรัฐบาลก็ดูจะชื่นชอบที่จะใช้งบหลวงออกรอบ ตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อสร้างคะแนนนิยม โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นการออกไปตรวจราชการ แต่วัตถุประสงค์หลักคือเสริมสร้างคะแนนเสียงเป็นสำคัญ แล้วก็มักจะมีนโยบาย มีวลีคำพูดที่สวยงาม สูงส่ง ไปป่าวประกาศตามที่ต่างๆ เพื่อสร้างความหวัง และกำลังใจ หากแต่ขาดความแน่ชัดในเรื่องแผนการ การเตรียมการ และจัดวางมาตรการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางความเดือดร้อนต่างๆ นานา และความไม่แน่นอนของชีวิตของประชาชนพลเมืองไทย รัฐสภาไทยก็ได้เสียเวลาและใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ไปกับเรื่องการอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะ ไปจนถึงเรื่องการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มิได้เกี่ยวข้องกับการขจัดสาระเนื้อหาที่สวนทางกับสังคมประชาธิปไตยแห่งการมีส่วนร่วม และเพื่อความผาสุกของประชาชนพลเมือง ซึ่งเป็นเพียงการแก้ไขบนพื้นฐานผลประโยชน์ได้เสียของพรรคการเมือง และนักการเมืองเป็นการเฉพาะ
เท่ากับว่า ที่ผ่านๆ มา บรรดาผู้แทนของราษฎรและพรรคการเมืองไทย ต่างมุ่งกระทำการแต่ในเรื่องผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ โดยเพิกเฉยต่อประเด็นปัญหาที่ประดังขึ้นมารอบด้านทั้งภายในประเทศและจากนอกบ้าน ส่วนการทำการใดเพื่อบรรเทาปัญหาของบ้านเมือง ก็เป็นเพียงนโยบายและมาตรการแบบตื้นๆ เอาง่ายเข้าใส่ เช่นในเรื่องการใช้งบกระตุ้นการท่องเที่ยวท่ามกลางการคงอยู่ของโรคระบาดโควิด-19 รวมทั้งการส่งเสริมลัทธิบริโภคนิยม ในขณะที่โรงงานและกิจการต้องปิดชั่วคราว โดนระงับไปกว่าสองปีขณะที่นโยบายการสร้างงานก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา แม้กระทั่งการใช้โอกาสที่ผู้คนตกงานหรือหางานไม่ได้ ในการเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะเพื่อจะได้อยู่ในฐานะที่จะรับการกลับมาของงานเดิมๆ และรับงานใหม่ๆ ที่มักจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ก็ไม่มีการขยับเขยื้อน
โดยรวมแล้วจัดได้ว่า สังคมไทยยังไม่เห็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจยุคใหม่ จากทั้งตัวผู้แทนราษฎรและตัวพรรคการเมืองต่างๆ เสมือนว่าต่างกำลังตกอับอยู่ในความมืดมนของความคิด สติปัญญา และวิสัยทัศน์ และก็มัวจมปลักอยู่กับเรื่องราว และผลประโยชน์ของตนเองดังกล่าว
ก็ต้องใช้พื้นที่นี้ในการเรียกร้องให้บรรดาท่านผู้แทน และพรรคการเมือง ได้กลับมาให้ความสนใจกับภาระหน้าที่ต่อสังคมและประชาชนพลเมืองที่ควรเป็นได้แล้ว เพราะการไม่คิดที่จะกลับตัวและกระทำการใดๆ เพื่อบ้านเมืองนั้น อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเพิกเฉย ซึ่งหากเรียกร้องกันแล้ว ยังไม่มีการตอบสนอง ก็คงต้องกล่าวหากันว่าเป็นการละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ การบิดเบือนต่อคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับตัวเองและสาธารณชนที่ว่า ตนเป็นผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง และหากยังจะดึงดันปิดหูปิดตาของตัวเอง ทำเช่นเดิมต่อไป ก็เห็นทีที่จะต้องรณรงค์รวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อให้มีการถอดถอน จนในที่สุดก็ไม่พ้นจะต้องออกไปรวมตัวกันบนท้องถนนเพื่อทำการขับไล่ไสส่ง ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงไร้เสถียรภาพขึ้นไปอีก การนี้บรรดาท่านผู้แทนและพรรคการเมืองก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นต้นเหตุและเป็นผู้บ่อนทำลายความเชื่อถือ และความศักดิ์สิทธิ์ของการเมืองแบบประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา
จุดเริ่มต้นแรกของการกลับคืนเข้าสู่การรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ก็คงต้องมาจากบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลาย และผู้นำรัฐบาลในวันนี้ว่า จะแสดงความรักชาติบ้านเมืองกันได้อย่างจริงจังหรือไม่ หรือยังจะจมปลักอยู่กับความโลภ ความไม่เพียงพอของตนเอง จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกต่อไปหรือ เพราะมั่นใจว่าตนมีอำนาจอยู่ในมือที่สามารถใช้ปราบปราม หรือจำกัดจำเขี่ยผู้เห็นต่างได้อย่างง่ายดายตลอดเวลา แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เสียงประชาชนนั้นเป็นเสียงสวรรค์ และอำนาจของประชาชนคืออำนาจที่แท้จริง ซึ่งประชาชนพลเมืองอาจจะลุกมาใช้อำนาจของตนเพื่อล้มล้างผู้ใช้อำนาจรัฐที่ฉ้อฉลเมื่อไหร่ก็ได้
บทเรียนทางประวัติศาสตร์ก็ได้ชี้ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เรื่องแบบนี้จะอุบัติขึ้นมาเมื่อใดก็คาดการณ์กันไม่ได้ อย่างล่าสุดก็เห็นกันที่โคลอมเบีย และที่ศรีลังกาใกล้บ้านเรานี่เอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี