กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแลเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ราวพันกว่าแห่งในประเทศไทย มูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท!!!
ปัจจุบัน รมช.เกษตรและสหกรณ์ “มนัญญาไทยเศรษฐ์” แห่งพรรคภูมิใจไทย รับหน้าที่กำกับดูแล
กรณีฉาวโฉ่ สหกรณ์สหโกง มากมายหลายเรื่อง หมักหมมมาแต่อดีตจนปัจจุบัน ท้าทายความสามารถ และความกล้าหาญของรัฐมนตรี และหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแล สะสาง เพื่อปกป้องชาวบ้านผู้ฝากเงินนับล้านครัวเรือน
ล่าสุด กรณีฉาวโฉ่ในสหกรณ์ออมทรัพย์ จุฬาฯ ต้องถือเป็นบทพิสูจน์น้ำยาครั้งสำคัญ
1. ปัญหาหมักหมมเดิม ยังส่งกลิ่นอยู่ไม่หาย อาทิ
กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จํากัดเงินกู้ มูลค่าความเสียหายต้นเงิน 1,431 ล้านบาท
กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จํากัดเงินฝาก มูลค่าความเสียหายต้นเงิน 200 ล้านบาท
กรณีสหกรณ์เคหสถานนพเก้ารวมใจ จํากัดเงินฝาก มูลค่าความเสียหายต้นเงิน 915 ล้านบาท
กรณีชุมนุมสหกรณ์ธนกิจไทย จํากัด เงินฝาก มูลค่าความเสียหายต้นเงิน 550 ล้านบาท
กรณีเหล่านี้ มีทั้งต้องติดตามเงินคืน มีทั้งคดีฟ้องร้องอดีตผู้บริหาร ซึ่งหลายคนที่ถูกฟ้องร้อง และถูกศาลตัดสินให้ชดใช้แก่สหกรณ์จุฬาฯ ก็ยังนั่งเป็นกรรมการอยู่ในปัจจุบันเองด้วย!
มีตำแหน่งใหญ่โตในอยู่ปัจจุบัน น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง
2. ล่าสุด เกิดเรื่องอื้อฉาวทับซ้อน ทับถมเข้าไปอีก
มีรายงานข่าวว่า สอ.จฬ.จะนำเงิน 2,500 ล้านบาท ไปซื้ออาคารยูทาวเวอร์ ที่มีราคาประเมิน 2,000 ล้านบาท โดยที่อาคารยูทาวเวอร์นั้น จำนองเป็นหลักประกันหนี้สินที่ สคจ. ค้างชำระอยู่ด้วย!!!
ไม่น่าเชื่อว่า กระทรวงเกษตรฯ หน่วยงานกำกับดูแล จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้กับสหกรณ์ขนาดใหญ่ในกลางเมืองหลวงแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา สมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สอ.จฬ.) จำนวนหนึ่ง นำโดยรองศาสตราจารย์ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ จุฬาฯ, รองศาสตราจารย์ชูชาติ ธรรมเจริญ เป็นต้น ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ เพื่อขอให้ออกคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ จัดการกับปัญหาฉาวโฉ่ จากการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายให้กับ สอ.จฬ. และสมาชิกของสหกรณ์ฯ
ระบุว่า ผู้บริหารปัจจุบันของสหกรณ์จุฬาฯ สอ.จฬ. จะดำเนินการซื้ออาคารยูทาวเวอร์ ในราคา 2,500 ล้านบาท
ตามโครงการ “แก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (สคจ.)” ที่ผิดนัดชำระหนี้ สอ.จฬ.
โดย สอ.จฬ. จะระดมเงินฝากจากสหกรณ์เจ้าหนี้ สคจ. วงเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท และ สอ.จพ.จะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหลักทรัพย์ค้ำประกัน สคจ. คือ อาคารยูทาวเวอร์ โดยมีข้อตกลงว่า สคจ. จะซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวคืนในอีก 7 ปีข้างหน้า
สมาชิกสหกรณ์ จุฬาฯ นำโดยรองศาสตราจารย์ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ได้ท้วงติงโดยระบุว่า เมื่อตรวจสอบเอกสารราคาประเมินของอาคารยูทาวเวอร์ของ สคจ. ซึ่งประเมินราคาเมื่อปี 2563 พบว่า อาคารดังกล่าว มีมูลค่าอาคารและที่ดิน โดยไม่หักค่าเสื่อมรวม 2,048.54 ล้านบาท ดังนั้น หากครบกำหนด 7 ปี สคจ.ไม่นำเงิน 2,500 ล้านบาท มาซื้ออาคารยูทาวเวอร์คืน แม้ สอ.จฬ. มีสิทธินำหลักทรัพย์ดังกล่าวไปขายได้ แต่หากขายอาคารได้ไม่ถึง 2,500 ล้านบาท ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายกับ สอ.จฬ. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ เมื่อสถานะทางการเงินของ สคจ. ซึ่งมีภาระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้ประเภทต่างๆ ประมาณ 15,000 ล้านบาท ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เมื่อครบกำหนด 7 ปีแล้ว สคจ.จะสามารถรวบรวมเงิน 2,500 ล้านบาท มาซื้ออาคารยูทาวเวอร์ คืนจาก สอ.จฬ.
เห็นว่า “โครงการ “แก้ไขปัญหาหนี้สินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” ซึ่งคณะกรรมการเสียงข้างมากของสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาฯ ได้มีมติอนุมัติในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะ สอ.จฬ. ได้ยื่นฟ้องบังคับคดีแล้ว และหนี้สินที่ สคจ. ค้างชำระอยู่นั้น มีอาคารยูทาวเวอร์จำนองเป็นหลักประกันอยู่แล้ว ถึงอย่างไร สอ.จฬ. ก็จะต้องได้รับชำระหนี้อย่างแน่นอน จึงไม่ควรเพิ่มภาระความเสี่ยงให้กับ สอ.จฬ. การที่กรรมการเสียงข้างมากของ สอ.จฬ. ลงมติเห็นชอบที่จะดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของ สอ.จฬ. ข้อ 67กล่าวคือ เป็นการลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงความมั่นคง และประโยชน์สูงสุดของสหกรณ์” – หนังสือร้องเรียนฯระบุ
3. นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา ว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนของสมาชิก สอ.จฬ. ดังกล่าว เนื่องจากติดภารกิจที่ต่างจังหวัดและหากได้รับหนังสือแล้วจะสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าอนุมัติเข้าซื้ออาคารยูทาวเวอร์ หากพบว่า สอ.จฬ. ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือกฎหมาย ก็จะดำเนินการสั่งการให้ระงับได้ ซึ่งการตรวจสอบเรื่องนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 15 วัน
4. ที่น่าสนใจมาก คือ ในหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ยังขอให้นายทะเบียนสหกรณ์เร่งรัดในการดำเนินการเพิกถอนการดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการดำเนินการ สอ.จฬ. รวม 5 คน เนื่องจากประธานและกรรมการฯดังกล่าว มีฐานะเป็นจำเลยตามคำพิพากษาในคดีสหกรณ์เคหสถานนพเก้ารวมใจ ซึ่งเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในการเป็นกรรมการสหกรณ์ฯ ตามกฎกระทรวงการดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2564 ข้อ 9 (7)
โดยที่ 5 คนนั้น นั่งเป็นกรรมการบริหาร สอ.จฬ.อยู่ในปัจจุบัน ได้ถูก สอ.จฬ.เอง ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีแพ่งในข้อหาละเมิด จากการให้เงินฝากแก่สหกรณ์เคหสถานนพเก้ารวมใจฯ จำนวนทุนทรัพย์ 626 ล้านบาท คดีหมายเลขแดงที่ 2561/2563 ศาลพิพากษาเมื่อ 17 ธันวาคม 2563
ศาลชี้ว่า อดีตกรรมการฯ “กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อันทำให้โจทก์ (สอ.จฬ.) ได้รับความเสียหาย” พิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ (ขณะนี้อยู่ในชั้นอุทธรณ์)
ปรากฏว่า บุคคลที่ถูกศาลพิพากษาข้างต้นนั้น ปัจจุบันนั่งเป็นกรรมการ บริหาร สอ.จฬ.อยู่ !!!
น่าสนใจว่า โดยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะนายทะเบียน ได้มีหนังสือบันทึกข้อความที่ กษ 1115/3293 เรื่อง ขอหารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงการดำเนินงานและกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2564 ลงวันที่ 6 มิ.ย.2565 แจ้งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1ซึ่งมีเนื้อหาว่า
ตามหนังสือสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ที่ กษ 1109/1130 ลงวันที่ 19เมษายน 2565 ขอหารือกรณีกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด ถูกสหกรณ์ฯ ฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานกระทำการให้สหกรณ์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากอนุมัติให้นำเงินไปฝากหรือให้เงินกู้กับสหกรณ์เคหสถานนพเก้ารวมใจ จำกัด ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ชดใช้ความเสียหายต่อสหกรณ์ฯ แต่กรรมการดำเนินการสหกรณ์ยังมิได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่สหกรณ์ฯ โดยอ้างว่าคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาการยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด จะถือว่ากรรมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องมีลักษณะต้องห้ามของกรรมการ ตามกฎกระทรวงการดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2564 ข้อ 9(7) หรือไม่ อย่างไร นั้น
กรมส่งเสริมสหกรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า
“....ถือได้ว่าการกระทำของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ เป็นการละเมิดต่อสหกรณ์ อันทำให้สหกรณ์ได้รับความเสียหาย คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สหกรณ์ ซึ่งเป็นไปตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
เมื่อคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ ได้กระทำละเมิดจนเป็นเหตุให้สหกรณ์ได้รับความเสียหาย ย่อมต้องชดใช้ค่าเสียหายกลับคืนมายังสหกรณ์ ซึ่งการชดใช้ค่าเสียหายของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์นั้น ถือว่าเป็นหนี้ (หน้าที่) ที่เกิดจากมูลละเมิด
โดยคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ (ผู้ที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย) มีฐานะเป็นลูกหนี้ อันมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่สหกรณ์ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 ได้กำหนดว่า “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด”
....เมื่อกรรมการดำเนินการสหกรณ์ ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากมูลหนี้ละเมิดที่ถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิด โดยที่คำพิพากษายังมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตาม และการยื่นอุทธรณ์ไม่ใช่เหตุแห่งการทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา กรณีย่อมถือได้ว่า มีลักษณะต้องห้ามตามนัยกฎกระทรวงฯ ข้อ 9 (7) จึงต้องถือปฏิบัติในการแจ้งเหตุในการพ้นจากตำแหน่งกรรมการทันทีตามกฎกระทรวงฯ ข้อ 11 ต่อไป”
6. น่าสนใจว่า นายทะเบียนสหกรณ์ และรมช.เกษตรฯมนัญญา ในฐานะฝ่ายบริหารที่กำกับดูแลโดยตรง จะปล่อยให้สหกรณ์ยังอยู่ในวังวน “สหกรณ์สหโกง” หรือจะกล้าหาญดำเนินการอย่างเด็ดขาด
กรณีฉาวโฉ่ในสหกรณ์ออมทรัพย์ จุฬาฯต้องถือเป็นบทพิสูจน์น้ำยาครั้งสำคัญ
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี