ถือเป็นภาคต่อของตำนานที่เล่าขาน ว่าด้วยเรื่องโจรปล้นบ้านปลัด แต่ทำเอาปลัดติดคุก !!!
1. เมื่อตำรวจ ตม.หนองคาย ได้จับกุม นายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี ผู้ต้องหาตามหมายจับ “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยฯ” จากคดีเมื่อปี 2554 สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุคนร้าย 6 คนบุกปล้นบ้านปลัดสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม)
ก่อนหน้านี้ ติดตามจับคนร้ายจนได้ 5 คน คือ นายสิงห์ทอง หรือไก่, นายเสาร์แก้ว หรือแก้ว,นายพงษ์ศักดิ์ ลูกชายของนายเสาร์แก้ว, นายสมบูรณ์ และนายคำนวณ ยังคงเหลือเพียงนายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊งปล้นที่หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน
กระทั่ง ล่าสุด ทางการ สปป.ลาว ส่งตัวมาให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย หลังพ้นโทษคดีหลบหนีเข้าเมือง จึงทำการตรวจสอบพบว่ามีหมายจับติดตัวในพื้นที่ สน.วังทองหลาง
2. ล่าสุด พนักงานสอบสวน ได้ควบคุมตัว นายวีระศักดิ์ ผู้ต้องหาซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งโจรที่ร่วมกันก่อเหตุบุกปล้นทรัพย์สินภายในบ้านพักของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นำไปฝากขังที่ศาลอาญา
คำร้องระบุพฤติการณ์แห่งคดี คือ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2554 เวลาประมาณ 19.40 น. นายสุพจน์ทรัพย์ล้อม ผู้กล่าวหาได้จัดงานสมรสบุตรสาวที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินีก่อนเกิดเหตุผู้กล่าวหาและครอบครัวจึงพากันเดินทางไปงานฉลองสมรส โรงแรมดังกล่าวปล่อยให้คนรับใช้ 3 คน คือ นางจันทราหรือแต๋ว สังเกิด, นางสมบัติ หรือสม รักศิลป์ และ น.ส.สาวิตรี หรือ รุ้ง บุญอุ้ม คอยดูแลบ้านพัก
ระหว่างอยู่ภายในงานเลี้ยงได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากนางสมบัติหรือบัติ ว่ามีคนร้ายหลายคน หลายคนกำลังเข้ามาในบ้านพักให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้กล่าวหาจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ต่อมาหลังเกิดเหตุผู้กล่าวหาได้ เดินทางกลับมาที่บ้านพักจึงทราบจากแม่บ้านว่าได้มีผู้ต้องหาร่วมกับพวก ใช้รถยนต์กระบะเป็นพาหนะ มีชะแลง มีดพกและ มีดคัตเตอร์เป็นอาวุธ บุกเข้าไปใน ซึ่งเป็นบ้านพักของผู้กล่าวหา แล้วได้มีการจับมือนางจันทราและน.ส.สาวิตรีไพล่หลังไว้ แล้วได้ร่วมกันเอา เงินสดจำนวนประมาณ 5 ล้านบาทของผู้กล่าวหาไป ผู้กล่าวหาจึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน...
ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ อัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนี ยากแก่การติดตามตัวมาดำเนินคดี
3. กรณีโจรปล้นบ้าน แก๊งโจรถูกศาลพิพากษาจำคุก 12 ปี
แต่ปรากฏว่า มีการปูดทรัพย์สินของปลัดออกมาด้วย
โจรให้การว่า สืบเนื่องมาจากการที่นางชุติมาเคยเป็นเลขานุการของปลัดสุพจน์ ทราบว่าบ้านของปลัดมีเงินสดเก็บไว้จำนวนมาก กลุ่มคนร้ายทราบข้อมูลจากนายวีระศักดิ์ว่าบ้านของปลัดมีเงินสดอยู่ประมาณ500 ล้านบาท และได้เงินจากการปล้นครั้งนี้ประมาณ 200 ล้านบาท
เมื่อตำรวจเข้าไปที่เกิดเหตุ สอบถามคนใช้ให้การว่า กลุ่มคนร้ายรื้อค้นห้องเกิดเหตุและนำเงินไปพบกระเป๋าที่ถูกกรีดกองอยู่ 7 ถึง 8 ใบ
พลตำรวจตรีสุธีร์ เนตรกัณฐี ให้การว่า หลังเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พลตำรวจตรีสุธีร์เข้าไปยังที่เกิดเหตุพบเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนอยู่ในที่เกิดเหตุ และพบกระเป๋ากองอยู่ที่พื้น 7-8 ใบ พลตำรวจตรีสุธีร์ สอบถามคนใช้ในบ้านของปลัดแจ้งว่า คนร้ายรื้อค้นตู้เสื้อผ้าของผู้คัดค้าน และนำกระเป๋าออกมากรีดนำเงินใส่ถุงที่คนร้ายเตรียมมา โดยคนร้ายสอบถามคนใช้ว่ากระเป๋าที่เหลืออยู่มีอะไรอยู่ภายใน เป็นเงิน
หรือไม่ คนใช้ตอบว่าเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าผู้คัดค้านที่เดินทางกลับจากต่างประเทศยังไม่ได้นำไปซัก คนร้ายจึงไม่ได้นำกระเป๋าดังกล่าวไป คนใช้ได้แจ้งอีกว่ามีกระเป๋าใส่เงินสินสอดงานแต่งงานลูกสาวที่ปลัดนำมาเก็บไว้เมื่อตอนเที่ยง พลตำรวจตรีสุธีร์จึงตรวจสอบกระเป๋าที่วางกอง ซึ่งไม่ได้ถูกกรีดและไม่ได้นำสิ่งของภายในออก โดยตรวจสอบภายนอกด้วยมือเปล่า เชื่อว่ามีธนบัตรบรรจุอยู่ภายใน (แสดงว่ามีกระเป๋าใส่เงินอีกจำนวนมาก)
นายสิงห์ทอง หนึ่งในคนร้าย ให้การว่า ขณะที่เข้าไปรื้อค้นห้องที่เกิดเหตุ เห็นถุงกระดาษสีฟ้าผูกโบจำสีไม่ได้อยู่ข้างโต๊ะทำงาน คิดว่าจากรูปทรงของห่อกระดาษและสภาพของห่อน่าจะเป็นเงินสินสอด แต่ไม่ได้สนใจเนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินของคู่บ่าวสาว และนายวีระศักดิ์ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรกว่า ให้มาเอาเงินของนายเท่านั้น
นายสมบูรณ์และนายสิงห์ทอง สองคนร้าย ให้การว่า ขณะที่มีการเข้าไปขนเงิน ได้กลิ่นเงินฟุ้งกระจายเหม็น จนรู้สึกเวียนหัว จะอาเจียน
นายบุญสืบระบุว่า ทราบจากนายชยธัช บุตรของนางชุติมา ซึ่งเคยทำงานเป็นเลขานุการของปลัดว่า ในบ้านของปลัดมีเงินน่าจะเป็น 100 ล้านบาท โดยนางชุติมาเคยได้ยินคนใช้ในบ้านพูดว่า บางครั้งนำหมูยอมาหั่น แต่ข้างในกลับพบว่าเป็นเงิน
ข้อเท็จจริงที่นำมารับฟังในคดีนี้ ไม่ได้มีแต่เพียงคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิด ที่มิได้ปัดความรับผิดให้พ้นไปจากตนเท่านั้น แต่ยังมีถ้อยคำของพยานบุคคลแวดล้อมใกล้ชิดที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดีและไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำความผิด โดยมีรายละเอียดที่ยากแก่การปรุงแต่ง เช่น
ถ้อยคำจากคนใช้ในบ้านของปลัด และเจ้าพนักงานตำรวจที่พบกระเป๋าที่ถูกกรีดในห้องผู้คัดค้าน
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมคนร้ายในหลายท้องที่ซึ่งจับกุมคนร้ายได้พร้อมเงินของกลางจำนวนต่างๆ
ภาพถ่ายกระเป๋า ซึ่งเป็นพยานวัตถุที่พบทันทีหลังเกิดเหตุ เชื่อว่าน่าจะบรรจุเงินได้มากกว่าที่ปลัดอ้างว่าถูกปล้นไป ฯลฯ
พยานหลักฐานทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงคนละส่วน เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกัน จึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่าเงินของกลาง 18,121,000 บาท เป็นเงินที่ได้มาจากการปล้นบ้านปลัด
4. ระหว่างที่หัวหน้าแก๊งโจรหลบหนีอยู่นั้น ปรากฏว่า ปลัดต้องโดนคดีหลายคดี ถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน ถูกลงโทษจำคุกด้วย
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการไต่สวนหลังจากเรื่องปูดขึ้นมาเพราะโจรปล้นบ้านปลัด ไปพบรถโฟล์คสวาเกน(Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม.จอดอยู่ในบริเวณบ้านปลัดอีก ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินละเอียด ชี้มูลฐานร่ำรวยผิดปกติ 64 ล้านบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 64,998,587.52 บาท
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.27/2560 ที่ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดคมนาคม (ระหว่างปี 2552-2554) ยื่นอุทธรณ์ผลคำพิพากษาองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีมติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ให้จำคุก 10 เดือน
นายสุพจน์ถูกตัดสินความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542มาตรา 119 ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริง กรณีพ้นจากตำแหน่ง รวม 5 กระทง กล่าวคือ เป็นประธานบอร์ด ร.ฟ.ท., บอร์ดการบินไทย, ประธานบอร์ด รฟม. และการพ้นจากตำแหน่งปลัดคมนาคม กับการพ้นจากตำแหน่งปลัดคมนาคมมาแล้ว 1 ปี แล้วไม่ยื่น รวม 5 ครั้ง ในทรัพย์สินชุดเดียวกัน
กระทงละ 2 เดือน จึงจำคุกทั้งสิ้น 10 เดือน
5. บัดนี้ เมื่อได้ตัวหัวหน้าแก๊งโจรมา ก็ควรจะสืบสาวขยายผลให้สิ้นกระแสความ
ในเมื่อนายสิงห์ทองเคยให้การว่า “ขณะที่เข้าไปรื้อค้นห้องที่เกิดเหตุเห็นถุงกระดาษสีฟ้าผูกโบจำสีไม่ได้อยู่ข้างโต๊ะทำงาน คิดว่าจากรูปทรงของห่อกระดาษและสภาพของห่อน่าจะเป็นเงินสินสอด แต่ไม่ได้สนใจเนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินของคู่บ่าวสาว และ นายวีระศักดิ์ เชื่อลี ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรกว่า ให้มาเอาเงินของนายเท่านั้น”
คำถาม คือ ใครคือ “นาย” ?
ทำไมเงินของ “นาย” จึงเยอะแยะมากมาย?
แล้วทำไมจึงมาเก็บอยู่ที่บ้านปลัด ตามคำให้การเดิมนั้น ใช่หรือไม่?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี