ราวเดือนมิถุนายน ได้เขียนบทความสนับสนุนมาตรการจูงใจกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศให้เข้ามาถ่ายทำในประเทศอย่างต่อเนื่อง ตอนนั้น ครม.เห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีนักแสดงชาวต่างชาติ 5 ปี ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ยกให้เป็นนโยบาย “กุ้งฝอย” ตกเอาปลากะพง(กองถ่ายหนังต่างประเทศ)
ซึ่งคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
โดยรัฐบาลยังมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ 50 ล้านบาท ขึ้นไป ในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) ร้อยละ 15-20 ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดกองถ่ายต่างชาติ
อย่าลืมว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกมีการแข่งขันสูงมาก ผู้สร้างภาพยนตร์มีทางเลือกหลากหลายมากขึ้น หลายประเทศมีมาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุนสร้างภาพยนตร์ในประเทศตน
ล่าสุด สัปดาห์นี้ ครม.มีการดำเนินการต่อเนื่องเพิ่มเติม พร้อมมีข้อมูลความคืบหน้าที่น่าสนใจมาก
1. ตั้งแต่เริ่มต้นมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน มีภาพยนตร์เข้าร่วมมาตรการแล้ว จำนวน 43 เรื่อง
เกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ประมาณ 8,560 ล้านบาท
การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เมื่อเทียบระหว่างเงินที่รัฐบาลคืนให้ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างประเทศกับจำนวนเงินที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างประเทศนำเข้ามาลงทุนและกระจายรายได้ไปสู่ภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำทั่วประเทศ
โดยรัฐบาลได้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ผลิตภาพยนตร์ภายใต้มาตรการดังกล่าวแล้ว จำนวน 22 เรื่อง รวมเป็นเงินจำนวน 541 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณประจำปีของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ปรากฏว่า มีหนัง 6 เรื่องนี้ ยังไม่ได้รับเงินมาตรการส่งเสริมฯ สัปดาห์ที่ผ่านมา ครม. จึงมีมติอนุมัติงบกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมฯ วงเงิน 212 ล้านบาท
2. ภาพยนตร์ต่างประเทศ จำนวน 6 เรื่องดังกล่าว ได้ถ่ายทำเสร็จสิ้นในช่วงปี พ.ศ. 2564
นำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย 1,191 ล้านบาท
กระจายรายได้ไปสู่ทีมงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 12,000 คน
ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนสร้างผลกระทบในระบบเศรษฐกิจอัตราทวีคูณ (ประมาณ 2,384 ล้านบาท)
ได้แก่
กองถ่ายหนัง JM (ฝรั่งเศส) นำเงินมาลงทุนในประเทศไทย 140 ล้านบาท
กองถ่ายหนัง Forbidden (สิงคโปร์) นำเงินเข้ามาในไทย 71 ล้านบาท
กองถ่ายหนัง Shantaram 1 สหรัฐอเมริกา นำเงินเข้ามาในไทย 379 ล้านบาท
กองถ่ายหนัง Shantaram 2 สหรัฐอเมริกา นำเงินเข้ามาในไทย 243 ล้านบาท
กองถ่ายหนัง Beer Run สหรัฐอเมริกา นำเงินเข้ามาในไทย 255 ล้านบาท
กองถ่ายหนัง Beer Run2 สหรัฐอเมริกา นำเงินเข้ามาในไทย 99 ล้านบาท
ภาพยนตร์เหล่านี้ ผ่านการตรวจสอบเอกสารทางการเงินและได้รับอนุมัติเงินคืนจากคณะกรรมการพิจารณาการคืนเงินสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว รวม
216 ล้านบาท
เทียบกับเม็ดนำเงินที่นำเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย 1,191 ล้านบาท
ไม่รวมผลประโยชน์อื่นๆ ของประเทศ อาทิ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเทศผ่านซอฟท์ พาวเวอร์ภาพยนตร์ต่างชาติเหล่านี้ การพัฒนาความสามารถของทีมงานคนไทยซึ่งเก่งกาจให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นไปเรื่อยๆ ฯลฯ
ภาพยนตร์ทั้ง 6 เรื่องดังกล่าว มีแผนออกฉายภายในปี พ.ศ 2565 ผ่านทางโรงภาพยนตร์และช่องทางออนไลน์ เช่น HBO, Paramount+, Apple TV โดยภาพยนตร์ทุกเรื่องมีการใส่เครดิตท้ายเรื่องว่ามีการถ่ายทำในประเทศไทย ได้รับเงินสนับสนุนและความร่วมมือจากประเทศไทยเป็นอย่างดี ซึ่งข้อความเหล่านี้จะได้รับการเผยแพร่ไปสู่สายตาผู้ชมและผู้ผลิตภาพยนตร์ทั่วโลก
นี่จึงตอกย้ำว่า เป็นการนำ “กุ้งฝอย” ตกเอาปลากะพง!
3. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 - 2564) มีค่าเฉลี่ยรายได้จากการลงทุนของกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเฉลี่ยประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี
เฉพาะในปี 2564 ธุรกิจดังกล่าวสร้างรายได้เข้าประเทศ 5,007 ล้านบาท
ปีนี้ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ข้อระวัง คือ อย่าให้เกิดกรณีเหมือนกองถ่ายหนังในอดีต ที่ไปถ่ายทำที่อ่าวมาหยา แล้วสร้างความเสียหาย จนกระทั่งศาลฎีกาเพิ่งตัดสินเมื่อเร็วๆ นี้ ให้บริษัทหนังชดใช้ 10 ล้านบาท นี่คือข้อพึงระมัดระวัง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี