ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง 95 มาตรา ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.กัญชา กัญชง นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ก่อนจะถอนกลับออกไปนั้น จริงๆ แล้ว ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลย
ไม่ได้ส่งเสริมกัญสันทนาการ ไม่ได้จะทำให้เยาวชนเสพกัญชากันทั่วประเทศ
ตรงกันข้าม มีการรองรับการปลูก การใช้เพื่อการแพทย์ และมีบทบัญญัติควบคุมพฤติกรรมการใช้กัญชาหลายมาตรา มีบทลงโทษ
มีการควบคุม “วิธีการขาย” เช่น ห้ามขายกัญชา กัญชง หรือสารสกัดผ่านเครื่องขาย, ห้ามขายช่อดอกหรือยางโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์, ห้ามเร่ขายช่อดอกหรือยางกัญชา กัญชง หรือสารสกัดเพื่อการสูบ
มีการควบคุม “สถานที่ห้ามขาย”กัญชา กัญชง เช่น วัด สถานศึกษา หอพักสวนสาธารณะ
มีการควบคุมกำหนด “พื้นที่ห้ามสูบกัญชา” ได้แก่ พื้นที่สาธารณะ, วัด, สถานพยาบาล(ยกเว้นพื้นที่สำหรับผู้ป่วยโดยความเห็นชอบของแพทย์), สถานศึกษา, ปั๊มน้ำมัน, สวนสาธารณะ,ร้านอาหาร ฯลฯ
ห้ามผู้มึนเมากัญชา กัญชง สารสกัด ขับขี่ยานพาหนะ
ห้ามโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาดเกี่ยวกับช่อดอกหรือ ยางของกัญชา สารสกัด หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบกัญชา
เรียกว่า คุมเข้มเกว่าปัจจุบันเสียอีก
แต่พอถูกโจมตี กระทั่งถอนออกไปก่อน ก็ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสที่จะได้มีกฎหมายมาควบคุมดูแลกัญชาในช่วงเปลี่ยนผ่าน จึงเสียเวลา เสียโอกาสไปบ้าง เพราะแทนที่จะพิจารณาแก้ไขอะไรในกันสภา กลับยื้อเวลาให้ถอนออกไปเสียก่อน
1. ตอนนี้ เป็นสุญญากาศหรือไม่?
ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ภาครัฐได้ใช้กฎหมายที่มีอยู่ เพื่อกำกับดูแลอยู่แล้ว นับตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด กัญชา ก็กลายเป็นสมุนไพรควบคุม ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
คู่ขนานกับการทำร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ของสภา ที่นำเสนอโดยพรรคภูมิใจ
ตอนนี้ และในร่างกฎหมาย ก็ล้วนมีรายละเอียดชัดเจนว่า ห้ามใช้ในผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร แล้วมีประกาศของกระทรวงฯ
กัญชาไม่เป็นยาเสพติด แต่ก็ไม่เคยเสรี 100% ยังมีกรอบการใช้กำหนดไว้
การประกาศให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรควบคุม แม้จะถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าจะให้ครอบคลุมจริงๆ ก็ต้องมีกฎหมายเฉพาะมากำกับควบคุมดูแลทั้งระบบ จึงจะสมประโยชน์และรอบคอบรอบด้านยิ่งขึ้น
2. ใครที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อกกัญชาไม่เป็นยาเสพติด แต่กลายเป็นการโจมตีกฎหมาย นั่นคือการตีผิดตัว เหมือนเกลียดพ่อ แล้วมาตีลูก
การปลดล็อกกัญชา ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมการยาเสพติด โดยความเห็นชอบของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ขณะนี้ จึงเป็นการสร้างระบบรองรับให้เปิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนทุกส่วน ด้วยความปลอดภัยที่สุด
ไม่ควรมีใครพยายามจะขัดขวาง สร้างภาวะให้ดูเป็นสุญญากาศ เพื่อโจมตี ดิสเครดิต เพื่อจะถอยหลังกลับให้เป็นยาเสพติดอีก
3. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงข้อมูลน่าสนใจ
“ประการแรก อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 นั้นได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยและถูกนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องมาหลายสิบปี เพราะไม่เคยมีข้อห้ามการใช้กัญชา ฝิ่น และโคเคนเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และทางวิทยาศาสตร์ แต่ในประเทศไทยหลายสิบปีที่ผ่านมากลับมีการยกเลิกตำรับยาของการแพทย์แผนไทย “ทั้งหมด” ที่มี กัญชา หรือ ฝิ่นเป็นส่วนผสม อันเป็นการกีดกั้นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยอย่างชัดเจน
ด้วยการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม นักวิจัย กลุ่มแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนปัจจุบันที่ยึดเอาประโยชน์ของประชาชนในประเทศเป็นตัวตั้ง ได้ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านสิทธิบัตรยากัญชาข้ามชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2561-2562 และมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์ให้กับประชาชน ต่อมาในปี 2562 รัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติในประเทศไทย และเป็นผลทำให้รัฐบาลในชุดต่อมาได้ประกาศนโยบายนำกัญชาในตำรับยาของการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านให้กลับคืนมาได้บางส่วนตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา...
ประการที่สอง กัญชาทางการแพทย์มิได้จำกัดอยู่วิธีการปฏิบัติเฉพาะการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น เพราะกัญชายังอยู่ในรูปของ “สมุนไพร” มิได้มีแต่สารสกัดเดี่ยว ดังเช่น สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ที่ทำให้มึนเมา แต่สมุนไพร “เต็มส่วน”กัญชายังมีสารสำคัญออกฤทธิ์ต้านการทำงานของสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลด้วย เช่นกัน อีกทั้งกัญชาหากไม่นำมาผ่านความร้อนที่สูงก็ไม่สามารถทำให้เกิดสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC)ที่ทำให้เกิดความมึนเมาด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น แม้สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ในกัญชาจะทำให้มึนเมาได้ แต่ก็มีผลการวิจัยมากมายพบว่ามีประโยชน์ในการยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองได้หลายชนิดจนถึงขั้นมีการนำไปจดสิทธิบัตรยาจำนวนมาก แม้จะยังไม่เป็นที่ยุติในการวิจัยในมนุษย์ แต่ก็มีความสอดคล้องกันไปกับการแพทย์แผนไทยที่ระบุว่าสมุนไพรรสเมาเบื่อ มีสรรพคุณ แก้พิษดี แก้พิษโลหิต พิษไข้พิษเสมหะ พิษสัตว์กัดต่อย แก้โรคอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ)
โดยเฉพาะกัญชาได้ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัชแลมหาพิกัด ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า “กัญชาแก้ไข้ผอมเหลือง หากำลังมิได้ ทำให้ตัวสั่น เสียงสั่น เป็นด้วยวาโยธาตุกำเริบ แก้นอนมิหลับ” ดังนั้นแม้แต่สารที่มึนเมาก็ไม่ได้มีแต่โทษแต่ยังมีประโยชน์ได้ด้วย แม้ประโยชน์เพียงแค่ช่วยการนอนไม่หลับก็เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อประชาชน ลดยานำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และการนำไปใช้เช่นเดียวกับประโยชน์และโทษของสมุนไพรทุกชนิดในครัวเรือน
ดังนั้น หากแพทยสภาไม่พร้อมหรือยังไม่เห็นด้วยที่จะใช้กัญชาในรูปแบบสมุนไพรเต็มส่วนเหมือนการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน หรือการใช้ในครัวเรือนและจะมุ่งเน้นแต่สารสกัดเดี่ยวซึ่งเป็นที่นิยมในรูปแบบยาจดสิทธิบัตรยาข้ามชาติในการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทยสภาย่อมสามารถกำหนดเวชปฏิบัติของวิชาชีพให้กับสมาชิกของแพทยสภาและราชวิทยาลัยของตัวเอง โดยไม่มีใครสามารถก้าวล่วงในแต่ละวิชาชีพได้อยู่แล้ว
ประการที่สาม โดยสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดพบว่ามีการใช้กัญชาใต้ดินอยู่แล้วจำนวนมาก
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องการใช้กัญชายังคงไม่สามารถเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมายได้จริง ด้วยเพราะยังช่องว่างระหว่างความต้องการของประชาชนกับแพทย์แผนปัจจุบันผู้จ่ายยากัญชานั้นมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น ข้อบ่งใช้ ตำรับยาที่ใช้ การคัดกรองผู้ป่วย การกำหนดให้ใช้ยาอย่างอื่นก่อน ฯลฯ
จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้แพทย์จ่ายน้ำมันกัญชาที่ถูกกฎหมายให้ผู้ป่วยได้น้อยมากจนเหลือค้างสต๊อก หมดอายุ และต้องทำลายทิ้งไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่ในขณะที่ประชาชนที่ต้องการใช้กัญชาทางการแพทย์เข้าไม่ถึงการใช้กัญชาต้องลักลอบปลูกหรือ ใช้น้ำมันกัญชาอย่างผิดกฎหมายเกินกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าภาครัฐจะพยายามผลักดันผ่านคลินิกกัญชาแล้วก็ตาม ก็ยังมีประชาชนส่วนใหญ่ใช้กัญชาใต้ดินเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์จำนวนมากหรือเป็นส่วนใหญ่อยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กัญชาใต้ดินนั้นมีความเสี่ยงต่อสารพิษ ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก ตลอดจนถูกเอารัดเอาเปรียบและขายในราคาแพง หากปล่อยช่องว่างในอคติและความไม่เข้าใจระหว่างแพทย์และประชาชนไว้เช่นนี้ต่อไป นอกจากผู้ป่วยจะถูกคุกคามและรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐที่จับกุมและปราบปราบยาเสพติดแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้กลับตกอยู่ในอันตรายจากสารพิษในกัญชาใต้ดินอีกด้วย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนโยบายในการเข้าถึงกัญชาของประชาชน เพื่อทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคที่ต้องได้รับการคุ้มครองให้ดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน
ประการที่สี่ ด้วยข้อเท็จจริงที่พบว่ากัญชามีความน่าจะเป็นในการเสพติดน้อยกว่าสุราและบุหรี่ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากกัญชาในการเพิ่มคุณภาพการนอนลดความเครียด และลดการอักเสบ ฯลฯ เมื่อประกอบกับประชาชนที่ต้องแอบใช้กัญชาใต้ดินทางการแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงพบว่าประชาชนในประเทศไทยที่ได้ผ่านประสบการณ์กัญชาใต้ดินโดยส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นโทษของกัญชาเหมือนยาเสพติดอื่นๆ
จากรายงานของโครงการศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย ระหว่างพ.ศ. 2562-2563 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้สำรวจมีความเห็นควรให้ประชาชนทั่วไปมีสิทธิในการปลูกกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ได้ร้อยละ 94.2, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกัญชาใช้เพื่อผ่อนคลายได้ 65.3, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนทั่วไป มีสิทธิปลูกกัญชา เพื่อใช้ในการผ่อนคลายร้อยละ 61.3
นอกจากนั้นรายงานโครงการเดียวกันนี้ ยังพบว่าประชาชนเห็นว่ากัญชาควรเป็นสารเสพติดให้โทษทั้งในกรณีใช้เพื่อการแพทย์และเหตุผลอื่น เหมือนในอดีตตามข้อเสนอของแพทยสภานั้น เห็นด้วยเพียงร้อยละ 21.6 เท่านั้น
แต่ในขณะที่ประชาชนเห็นว่ากัญชาควรมีกฎหมายควบคุมเช่นเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 75 และควรควบคุมเช่นเดียวกับยาสูบ บุหรี่ ร้อยละ 75.8 ...”
ขอย้ำว่า ปัจจุบัน ใครที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อกกัญชาไม่เป็นยาเสพติด แต่กลับมาโจมตีกฎหมาย นั่นคือการตีผิดตัว เกลียดพ่อ แล้วมาตีลูก ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี