เมียนมา หรือพม่า ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมืองมาเป็นเวลาปีกว่า ประชาชนพลเมืองประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศตกอยู่ในชีวิตที่แร้นแค้น ขัดสน อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับถัวเฉลี่ยแห่งความยากจน (below the poverty line) คือขาดทั้งอาหาร น้ำ ยารักษาโรค รวมทั้งของใช้ประจำวันนอกจากนั้นประชาชนพลเมืองประมาณ 1.5 ล้านคนต้องพลัดจากถิ่นฐานของตนเอง เพราะมีบ้านอยู่ในบรรดาเมืองเล็กเมืองน้อยที่ถูกทำลายจากการสู้รบ และการทำลายล้างด้วยฝีมือของกองทัพทหารพม่า ซึ่งในจำนวนนี้ บางส่วนก็ได้หลบหนีลี้ภัยมาอาศัยอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า จำนวนประมาณแสนกว่าคน แต่ก็ไม่สามารถลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยได้ เพราะรัฐบาลไทยทำการปิดชายแดน รวมทั้งขับไล่ หรือผลักดันให้ออกไป ซึ่งผู้พลัดถิ่นต่างๆ เหล่านี้ก็มีทั้งคนชราหญิง เด็ก ผู้พิการ ผู้บาดเจ็บ จากผลของการสู้รบและจากการเหยียบกับระเบิดเป็นจำนวนมาก
การช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากชาวโลก และประชาคมอาเซียนที่จัดส่งผ่านกองทัพพม่าก็ไปได้แค่ตัวเมืองหลักๆ หรือนัยหนึ่งก็คือไปถึงแค่มือครอบครัวของกองทัพพม่าและผู้สนับสนุนเท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านไปถึงมือของชาวบ้านพม่าทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่งส่วนการช่วยเหลือที่จะลำเลียงผ่านชายแดนไทย-พม่า ก็เป็นไปได้อย่างกระท่อนกระแท่น เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่ยอมเปิดชายแดน ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่พอจะเล็ดลอดไปได้ ก็ต้องอาศัยความกรุณาของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือไม่ก็ด้วยระบบเก็บค่าไถ่อามิสสินจ้าง โดยเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตมิชอบ
ทั้งนี้ ชาวโลกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายองค์การระหว่างประเทศ หรือองค์การที่มิใช่รัฐ ต่างก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมต่อชาวพม่า แต่ก็ติดขัดอยู่ที่การไม่ตัดสินใจเปิดชายแดนของรัฐบาลไทย และการที่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับภาระเป็นตัวกลางในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ร่วมกับหน่วยงานของประเทศต่างๆ และองค์การระหว่างประเทศ ไปจนถึงองค์การที่มิใช่รัฐทั้งไทยและเทศ ซึ่งหากรัฐบาลไทยเปิดชายแดนไทย-พม่า เศรษฐกิจไทยก็จะได้ประโยชน์ เพราะสิ่งของและยารักษาโรคที่จะนำไปช่วยเหลือชาวพม่านั้น ก็ต้องจัดซื้อจัดหาจากประเทศไทยเป็นสำคัญ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลไทยยังปิดโอกาสการมีรายได้ของภาคธุรกิจของไทย รวมไปถึงการจ้างงานเพิ่มเติมขึ้นอีกด้วย
นอกจากปัญหาเรื่องมนุษยธรรมแล้ว ก็เป็นเรื่องพฤติกรรมของฝ่ายกองทัพพม่า ที่ได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดพม่าไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ก็ยังไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะต้องเผชิญกับการต่อต้านของประชาชนชาวพม่าทุกหมู่เหล่า ทุกสาขาอาชีพ และเป็นการต่อต้านที่มาจากทุกชาติพันธุ์ของพม่า ทั้งชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่คือ ชาวพม่า และชนชาติพันธุ์กลุ่มน้อยต่างๆ เช่น ยะไข่ มอญ กะเหรี่ยง คาเรนนี ฉาน ชิน และขะฉิ่น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายกองทัพพม่าก็ได้ทำการปราบปรามอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งการทิ้งระเบิด ใช้ปืนใหญ่ ปืนครก ประหารชีวิต ทรมาน และข่มขืน ไปจนถึงการตั้งข้อหาเป็นกบฏ เดินหน้ากวาดล้าง จับกุม ขังคุก และตั้งศาลเถื่อนเพื่อการลงโทษ และได้ประหารชีวิตนักการเมืองนักเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยไป 4 คน โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ จากประชาคมโลก
ปัญหาใหญ่ของโลกอีกปัญหาก็คือ มีข่าวคราวหนาหูว่า ผู้นำฝ่ายกองทัพพม่า นอกจากลักขโมยและกอบโกยเงินตราและทรัพย์สินของประเทศชาติไปแล้ว ยังได้ไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติหลายๆ ชนิด เช่น การค้าอาวุธเถื่อน การค้ายาเสพติดการค้ามนุษย์ ผ่านทางการลักลอบค้าอัญมณี (ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ) ซึ่งได้ส่งผลไปทั่วโลก
ฝ่ายประชาคมอาเซียน ซึ่งพม่าก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยนั้น ก็เพียรพยายามที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพม่า โดยมีการออกมติร่วมกับผู้นำฝ่ายกองทัพพม่าเมื่อเดือนเมษายน 2564 เพื่อให้มีการยุติการใช้ความรุนแรง และการเจรจาสันติภาพ เป็นต้นไปจนถึงการระงับการเข้าร่วมในการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างๆ ของอาเซียน โดยผู้แทนกองทัพพม่าที่ยึดอำนาจดังกล่าว แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า เพราะฝ่ายกองทัพพม่าได้เพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันฝ่ายกองทัพพม่าก็ยังได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากจีน รัสเซีย และอินเดีย เป็นสำคัญ แถมยังมีข่าวคราวออกมาว่า แม้ฝ่ายรัฐบาลไทยมิได้ออกมาสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลทหารพม่าอย่างออกหน้าออกตา แต่ก็มิได้ทำการประณาม และมิได้กดดันให้ฝ่ายกองทัพพม่าปฏิบัติตามมติร่วมของอาเซียนดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลไทยก็ดูไม่สะทกสะท้าน ไม่รับรู้ และไม่แยแสต่อความเป็นไปในพม่าดังกล่าว ทั้งๆ ที่สังคมไทย และรัฐบาลไทยอ้างถึงการยึดมั่นในการเป็นสังคมประชาธิปไตย และการเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนและการบริหารจัดการบ้านเมืองแบบที่มีธรรมาภิบาลทั้งนี้ สังคมไทยยังเป็นสังคมแห่งศาสนา และมีความเอื้ออารีต่อเพื่อนมนุษย์มาโดยตลอดโดยเฉพาะเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบบ้าน และสังคมไทยโดยตลอดมา ก็ได้เปิดพรมแดนเพื่อให้ผู้ที่หนีร้อนได้มาพึ่งเย็น จนเป็นที่เลื่องลือกล่าวขวัญของประชาคมโลก
แต่มาบัดนี้ภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน การที่คนต่างชาติที่เดือดร้อนจะได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารดูจะห่างไกล และดูจะขัดกับหลักปฏิบัติที่สังคมไทยได้ปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนาน แต่ก็คงยังไม่ถึงขั้นสุดวิสัย ซึ่งก็หวังว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล รวมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติจะรู้สึกห่วงใยชาวพม่าเพื่อนมนุษย์ และดำเนินการในสิ่งที่พึงควรเสียที
คนไทยนั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารี ต้อนรับขับสู้และเราก็อยู่ในฐานะที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ต่างๆ ได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐบาล ต่างก็เป็นชาวไทย แล้วไฉนถึงจะยังเพิกเฉย นิ่งดูดาย ไปกับความเป็นไปในพม่าเล่า? ซึ่งมันเป็นการผิดวิสัย และเป็นการสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียง และคุณงามความดีของชาวไทยและสังคมไทยที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลาช้านาน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี