สำนักข่าวต่างประเทศและสื่อท้องถิ่นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาโหมกระแสข่าวเครื่องบินรบกองทัพเมียนมาทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทำลายพลเรือนเป็นเหตุให้พลเรือนตายหลายสิบคนจนเกิดกระแสเรียกร้องให้ยูเอ็น อาเซียนและประชาคมนานาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการในเมียนมา เพื่อยับยั้งการเป็นฆาตกรสงครามของรัฐบาลทหารเมียนมา
ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาก็ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันควันว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายรักษาความสงบและความมั่นคงในการปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้าย กองทัพเมียนมา ยืนยันว่ามิได้ทำร้ายพลเรือน “กองทัพมิได้มีเป้าหมายทำร้ายพลเรือน ปฏิบัติการทางทหารเป็นการตอบโต้กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่โจมตีทหารมาจากจุดนั้นๆ ที่ลือกันว่ามีคนตายจำนวนมากนั้นสื่อต่างๆนำข่าวลือที่กุขึ้นโดยผู้ก่อการร้ายไปขยายความ” แถลงการณ์ของรัฐบาลเมียนมาไม่ได้บอกว่ามีผู้เสียชีวิตกี่คน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างผู้เห็นเหตุการณ์ว่าเครื่องบินรบทหารทิ้งระเบิดใส่การฉลองครบรอบ62 ปีก่อตั้ง องค์กรคะฉิ่นอิสระ (KIO) และกองทัพคะฉิ่นอิสระ (KIA) ที่เมืองผากั้นซึ่งมีชาวบ้านมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก กองกำลัง “อิสรภาพคะฉิ่น(Kachin Independence Army=KIA) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2503 แต่สงสัยว่า ทำไมคะฉิ่นเฉลิมฉลองกันตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.โดยปกติกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ฉลองวันก่อตั้งโดยการสวนสนามตอนเช้าและใช้เวลาระยะสั้น ไม่ได้ฉลองข้ามคืนข้ามวันดังที่เป็นข่าว
รอยเตอร์สอ้างสื่อท้องถิ่นรายงานว่าวันที่ 25 ต.ค.เป็นวันที่ครบรอบก่อตั้ง KIA แต่จัดงานเฉลิมฉลองกันตั้งแต่วันที่ 23 และพอตกค่ำของวันนั้นเครื่องบินรบทหาร ก็ทิ้งระเบิดใส่ทำให้คนตาย 50 คน และผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อิระวดีสื่อออนไลน์เมียนมารายงานว่า มีคนตาย 60 คน ส่วนข่าวคะฉิ่นนิวส์รายงานว่า มีตาย 80 คน บาดเจ็บกว่า 100 คน รอยเตอร์สรายงานด้วยว่าไม่สามารถยืนยันจำนวนคนเจ็บ คนตายได้
จากประสบการณ์รายงานข่าวในกลุ่มชาติพันธุ์นานหลายปีในห้วงเวลาที่การสู้รบกันรุนแรงระหว่างทหารเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ พบว่า ข่าวการสูญเสียที่ได้รับจากกลุ่มชาติพันธุ์และจากชาวบ้านบอกเล่าเรื่องคนตายมากเกินจริงไปหลายเท่า ครั้งหนึ่งผู้เขียนกับทีมงานรอยเตอร์สไปทำข่าวที่เบอร์มาพลอร์ กองบัญชาการใหญ่กะเหรี่ยง เคเอ็นยูไปทำรายงานข่าวครั้งนั้นไม่นานหลังภาพยนตร์เรื่องมือปืน (2) สาละวิน ออกฉาย
มือปืน 2 ซึ่งใช้เวลาถ่ายทำจุดนั้นนานนับเดือนเมื่อเห็นทีมงานรอยเตอร์สมีกล้องทีวีไปด้วยทหารกะเหรี่ยงคนหนึ่งมาทวงเครื่องแบบกับพวกเราว่า “เครื่อ แบๆ” พวกเราไม่เข้าใจว่าเครื่องแบบอะไรและได้รับการชี้แจงภายหลังว่าตอนถ่ายทำภาพยนตร์ กองถ่ายยืมเครื่องแบบทหารเคเอ็นยู ไปใช้ ทางกองถ่ายได้คืนเครื่องแบบมาให้แล้วแต่กองบัญชาการยังไม่ได้คืนเครื่องแบบให้ทหารทุกคน
เมื่อถามว่าได้ดูหนังเรื่อง “มือปืน 2” แล้วหรือยังทหารกะเหรี่ยงคนหนึ่งตอบประชดประชันว่า “ดูแล้ กะเหรี่ย โง่นี้กะเหรี่ยตาเยอะๆ จีๆ แล้ กะเหรี่ยไม่ตาเล พม่าที้ระเบอะ ที้ระเบอะจีๆ” คือนายทหารเคเอ็นยูประชดที่หนังทำออกมาว่าทหารกะเหรี่ยงตายจำนวนมาก ความจริงแล้วไม่เป็นอย่างในหนังเพราะกะเหรี่ยงได้ยินเสียงเครื่องบินก็หนีเข้าป่าหรือลงหลุมหลบภัย ส่วนทหารเมียนมาทิ้งระเบิดก็ทิ้งระเบิดจริงๆ คือเอาระเบิดมาทิ้งในป่าในเขา
เมื่อคราวไปทำข่าวกองกำลังขุนส่ารบกับกองกำลังว้าที่ดอยสามเส้าก็เช่นกันคือมีดอยที่คู่สงครามยึดเป็นที่มั่นอยู่ห่างกันไม่ไกลนักฝ่ายขุนส่าและฝ่ายว้าแย่งพื้นที่สูงข่มกันว่ากันว่าทั้งสองฝ่ายใช้พื้นที่บนดอยเป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อคอยคุ้มกัน คาราวานฝิ่น ทหารว้ากับทหารขุนส่า ยิงปืนครกใส่กันนานหลายวัน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายคุยให้ทีมข่าวฟังว่าฝ่ายตรงข้ามตายเป็นร้อยทุกวันแต่เมื่อการยิงปืนครกใส่กลับสงบลงพวกเราขึ้นไปบนดอยฐานที่มั่นทั้งสองฝ่ายไม่เห็นร่องรอยความเสียหายไม่เห็นรอยคราบเลือดและหลุมฝังศพ
ผู้เขียนเลย ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าข้อมูลการสูญเสียจากการสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับข่าวมาจากชาวบ้าน หรือได้ยินจากปากกลุ่มชาติพันธ์ุให้เอาร้อยหาร ที่ดอยสามเส้า ทหารขุนส่ากับทหารว้ายิงปืนครกใส่ป่าเขาโดยไม่เล็งไปที่เป้าหมายทำลายฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับที่ทหารกะเหรี่ยงบอกว่า “เครื่อบิ พม่าที้ระเบอะๆ จีๆ คือเอาระเบอะ มาที้ไนป่า”
ในกรณีข่าวเครื่องบินทหารเมียนมาทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นคะฉิ่นที่ผากั้นก็เช่นกัน ไม่มีใครยืนยันตัวเลขการสูญเสียได้ เพราะสื่อรายงานข่าวตามที่ชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมา แต่น่าประหลาดใจที่สหประชาชาติและอาเซียนยึดถือตัวเลขการตายของพลเรือนจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารที่เล่าต่อกันมาว่าเป็นเรื่องจริงที่โหดร้ายโดยไม่ได้ตรวจสอบ และถึงกับออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลทหารเมียนมาเป็นอาชญากรสงคราม
ดร.ซาซา โฆษกและผู้ประสานต่างประเทศของ NUG ออกแถลงการณ์ “ขอเรียกร้องให้ยูเอ็นและประชาคมนานาชาติใช้มาตรการลงโทษรัฐบาลทหารเมียนมา ที่สามารถปฏิบัติจริงได้โดยฉับพลัน...ขอเรียกร้องให้ยูเอ็นและประชาคมนานาชาติทำงานร่วมกับ รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ หรือ NUG (National Unity Government) ซึ่งเป็นรัฐบาลถูกต้องตามกฎหมายของฝ่ายออง ซาน ซู จี”
ฝ่ายเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมในเมียนมารวมกัน 457 องค์กร ออกจดหมายเปิดผนึกถึงอาเซียน “ขอให้ยกเลิกแผนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาตามฉันทามติ 5 ข้อและหันมาประสานงานกับรัฐบาลเงาหรือ NUG ซึ่งสนับสนุน นางออง ซาน ซู จีแทนการมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารเมียนมา”
รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอันประกอบด้วยบรูไน สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย เวียดนามและ ติมอเลสเต มีกำหนด
ประชุมนัดพิเศษกันที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 27 ต.ค.
นายปรก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาในฐานะทูตพิเศษอาเซียน กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงพนมเปญ ว่า “การประชุมนัดพิเศษครั้งนี้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะประเมินความคืบหน้าในทางปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ฉันทามติของอาเซียนคือ
1.ทุกฝ่ายในเมียนมาจะต้องยุติความรุนแรงในโดยทันที และทุกฝ่ายจะต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่
2.การเจรจาที่สร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเริ่มต้นขึ้น เพื่อหาทางออกอย่างสันติเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
3.ทูตพิเศษของประธานอาเซียนจะอำนวยความสะดวกเป็นสื่อกลางของกระบวนการเจรจาโดยความช่วยเหลือของเลขาธิการอาเซียน
4.อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ (AHA)
5.ทูตและคณะผู้แทนพิเศษจะเดินทางไปเยือนเมียนมาเพื่อพบปะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาปฏิบัติได้จริงเพียงบางส่วนสองข้อ กล่าวคือตั้งแต่กัมพูชาเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนปี 2565 นายฮุนเซ็น นายกฯตลอดกาลกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนเดินทางไปเยือนเมียนมาเมื่อวันที่7 มกราคม ถือว่าเป็นผู้นำอาเซียนคนแรกที่เยือนเมียนมาตั้งแต่พลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 และนายปรก สุคน ในฐานะทูตพิเศษอาเซียน ได้เดินทางไปเยือนเมียนมาพบปะกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย และบางฝ่ายแล้วสองครั้งในเดือนมีนาคมและเดือนกรกฎาคม 2565
ส่วนฉันทามติข้อที่ 4 อาเซียน ก็ได้เริ่มแจกจ่ายสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภคเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมาได้บ้างแล้วบางจุดที่ฝ่ายเมียนมากำหนดให้แต่การแจกจ่ายสิ่งของทำได้ยากลำบากและเชื่องช้า เพราะถูกขัดขวางจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร
การปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อจึงไม่คืบหน้าดังที่ยูเอ็นและอาเซียนตั้งเป้าหมายไว้ เป็นเหตุให้สมาชิกอาเซียนบางประเทศไม่พอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซียสิงคโปร์ และบรูไน ที่ต้องการยกเลิกฉันทามติที่ว่าแล้วหันไปมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาล NUG ของนางออง ซาน ซู จี แทน
นางเรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า “เมื่อรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน จะมีประโยชน์อะไรที่คงไว้ ซึ่งฉันทามติดังกล่าว”
จากข้อครหาว่า เครื่องบินรบกองทัพเมียนมาจงใจทิ้งระเบิดใส่พลเรือนประกอบกับท่าทีซึ่งมีอคติของสมาชิกอาเซียนบางประเทศที่ชิงชัง พลเอกมิน อ่อง หล่ายและสนับสนุนฝ่ายนางออง ซาน ซู จี และนักวิเคราะห์ข่าวชาวเมียนมาบอกกับแนวหน้าว่าข้อครหาทิ้งระเบิดฆ่าพลเรือนโดยกองทัพเมียนมาจะครอบงำการประชุมนัดพิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและนักวิเคราะห์ทำนายด้วยว่าหลังการประชุมวันที่ 27 ต.ค. ในกรุงจาการ์ตาเหตุการณ์รุนแรงในเมียนมาจะเลวร้ายลงไปอีก
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี