แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ทั้งในสายตานักวิเคราะห์สถาบันต่างๆ รวมทั้งในสายตา IMF ล้วนแต่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนละโลกกับที่นักการเมือง ลิ่วล้อสัมภเวสีหนีคุกพยายามเขย่าขวัญคนไทยว่าเศรษฐกิจวิบัติแน่ถ้าประยุทธ์ยังอยู่ การคลังถังแตกแน่ๆ บ้างละ ฯลฯ
แน่นอนว่า คนจำพวกนั้น ไม่รู้จักอาย ยังคงหาเรื่องโกหก ปั่นหัว สนตะพายคนที่ไปหลงเชื่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า
คนพวกนี้ ทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งใส่ร้ายประเทศตัวเอง เพื่อหวังจะได้โอกาสชิงอำนาจรัฐมาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หวังเอื้ออำนวยให้นายใหญ่ของพวกตนได้กลับบ้านโดยไม่ต้องรับโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
1. การคลังแผ่นดิน ถังไม่แตก แถมรายได้ทะลุเป้า
ล่าสุด กระทรวงการคลังรายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2565 ระบุว่า รายได้แผ่นดิน มีการประมาณการรายได้ จำนวน 2,400,000 ล้านบาท
ปรากฏว่า มีการรับรายได้ แผ่นดินจริงรวมทั้งสิ้น จำนวน 2,551,222 ล้านบาท
สูงกว่าประมาณการ จำนวน 151,222 ล้านบาท
2. สถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนกันยายน และ 9 เดือนแรกของ ปี 2565
กระทรวงพาณิชย์ สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย ระบุว่า การส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2565 มีมูลค่า 24,919.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (888,371 ล้านบาท)ขยายตัวร้อยละ 7.8
ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 (หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 9)
โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี คือ การส่งออกรถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ภาพรวมการส่งออกของไทย 9 เดือนแรก ขยายตัวร้อยละ 10.6 (เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 8.6)
ถ้าโฟกัสเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เดือนกันยายน ขยายตัวร้อยละ 1.8
เป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 22 เดือน
สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ขยายตัวร้อยละ 82.9 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 19.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแคนาดา) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 2.7 (ขยายตัวในตลาดอิรัก เบนินแองโกลา แคเมอรูน และแคนาดา) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.4 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และเวียดนาม) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 16.3 (ขยายตัวในตลาดลาว กัมพูชา สิงคโปร์ จีน และมาเลเซีย) ผลไม้แช่แข็งและผลไม้แห้ง ขยายตัวร้อยละ 31.5 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ แคนาดา และภูฏาน) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 14.3 (ขยายตัวในตลาดจีน รัสเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา และไต้หวัน) ฯลฯ
ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 13.7
3. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 – 2566
สภาพัฒน์ รายงานสภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุด ดังนี้
3.1 ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2565
9 เดือนแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.1
การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 9.0 เร่งขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.5 และร้อยละ 7.1 ในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2565 ตามลำดับ และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 39 ไตรมาส
สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม มาอยู่ที่ระดับ 37.6 (จากระดับ 34.9 ในไตรมาสก่อนหน้า)
รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.5
ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 และดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4
สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 6.3 (เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อนหน้า)
รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 สาขาการผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 63.40
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 53.6 (เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 44.9 ในไตรมาสก่อนหน้า)
ในไตรมาสนี้ นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 3.608 ล้านคน ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และสถานการณ์ ด้านการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
ขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.158 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 1,497.1 เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดำเนินนโยบายกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 47.80 สูงกว่าร้อยละ 42.09 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 5.46 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 43.7 ปรับตัวดีขึ้น (เมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 17.9 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน)
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 5.688 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,863.1
3.2 แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2565
เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 (เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในปี 2564)
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3
ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 3.6 ของ GDP
3.3 แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2566
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.0 – 4.0
โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจาก (1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (2) การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ (3) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภค-บริโภคภายในประเทศ และ (4) การขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร
ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ส่วนการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.4 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 1.0
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5
ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ร้อยละ 1.1 ของ GDP
3.4 ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจมหภาคในปี 2566
ในที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 22 พย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2566 ให้ความสำคัญกับ
(1) การดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของลูกหนี้รายย่อย ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
(2) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเพาะปลูก 2566/2567
(3) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า โดย (i) การส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในเกณฑ์ดี และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ (ii) การติดตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการค้าโลก เพื่อใช้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก (iii) การพัฒนาสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า (iv) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และ (v) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
(4) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดย (i) การแก้ไขปัญหาและเตรียมความพร้อมให้ภาคการท่องเที่ยวสามารถรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างเต็มศักยภาพ (ii) การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและยั่งยืน (iii) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง และ (iv) การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
(5) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) การดูแลด้านสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจภายใต้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว (ii) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 - 2565 ให้เกิดการลงทุนจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (iii) การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างประเทศเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต (iv) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย (v) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ (vi) การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญ และ (vii) การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูง
(6) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
(7) การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับ ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
และ (8) การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 และโรคติดเชื้ออื่น
4. ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์บริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี รอบคอบ รัดกุม ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงาน สงครามการค้า สงครามรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งสร้างผลลบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก (สภาวการณ์เลวร้ายในต่างประเทศเช่นนี้ไม่เคยมีในรัฐบาลทักษิณที่ชอบขี้โม้จนน่าสะอิดสะเอียน)
การบริหารประเทศในยุคที่ถูกด้อยค่าปรามาสว่าเป็น “รปภ.” นี้ มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังประคับประคอง นำพาประเทศชาติผ่านวิกฤตมาได้เช่นนี้ สมควรได้รับคำชื่นชม ส่งเสริมให้ทำงานสานต่อไป มิให้ไปขัดขวาง ขัดขา ล้มล้างแย่งชิงอำนาจรัฐไปให้โจรหนีคดีโกงต่างแดน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี