นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวคุณอุ๊งอิ๊งเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และชูกระแสแลนด์สไลด์แล้ว ปรากฏว่าเสียงตอบรับขับขานดังก้องกระหึ่มไปทั้งประเทศ โพลล์อิสระได้ออกผลโพลล์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตรงกันทุกครั้งว่าผลโพลล์ต้องการให้คุณอุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี
และเมื่อจำแนกตามภาคแล้วผลโพลล์ก็ยังชี้ลักษณะเช่นนั้น ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ ดังนั้น ผลโพลล์ดังกล่าวจึงส่งผลสะเทือนทางการเมืองอย่างหนักหน่วง
ผลสะเทือนทางการเมืองที่เกิดขึ้นก็คือเกิดกระแสย้ายพรรคที่นักการเมืองเดิมของพรรคเพื่อไทยที่ออกไปสังกัดพรรคอื่น ไม่ว่าโดยสมัครใจก็ดี โดยถูกบังคับก็ดี ได้แสดงท่าทีขอกลับเข้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลโพลล์ดังกล่าวนี้แน่นอนว่าสอดคล้องกับผลโพลล์ที่พรรคเพื่อไทยซุ่มทำเป็นประจำ คือจัดทำสามเดือนครั้งบ้าง เดือนละครั้งบ้าง ซึ่งเป็นไปตามลักษณะการทำโพลล์
ก็ต้องบอกให้รู้ทั่วกันว่าพรรคเพื่อไทยที่กลายพันธุ์มาจากพรรคไทยรักไทยเดิมนั้นได้ใช้ฐานข้อมูลจากการทำโพลล์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างสม่ำเสมอตลอดมา แม้กระทั่งการเปิดตัวคุณอุ๊งอิ๊งก็เป็นผลจากโพลล์ที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งนั่นเอง
มิฉะนั้นไหนเลยครอบครัวชินวัตรจะกล้าปล่อยให้บุตรสาวซึ่งอายุยังไม่มากนักออกสู่สมรภูมิทางการเมือง ซึ่งก็รู้อยู่ว่าจะมีแรงต้านมากมายมหาศาลขนาดไหน แต่เพราะเชื่อโพลล์ เชื่อเสียงของประชาชนจากโพลล์นั้นจึงกล้าตัดสินใจดังกล่าว
ทำให้กลไกแห่งอำนาจต้องหวาดผวา เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยคร่ำหวอดทางการเมืองจะได้รับกระแสนิยมขนาดนี้ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาของการต่อสู้ทางการเมืองที่ไม่มีธรรมหรือเมตตาต่อกัน คุณอุ๊งอิ๊งจึงถูกกำหนดให้เป็นเป้าหม ภายที่จะถูกทำลาย
การสร้างกระแสและการเคลื่อนไหวของ IO อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาร่วมปีที่ผ่านมานี้ปรากฏว่าไม่สามารถดับกระแสนิยมคุณอุ๊งอิ๊งได้ มูลเหตุสำคัญเกิดจากคุณอุ๊งอิ๊งใหม่ทางการเมือง ไม่มีแผล ไม่มีจุดอ่อนที่จะถูกโจมตี แตกต่างจากนักการเมืองที่เรื้อเวทีหรือยืนอยู่บนสังเวียนที่ถูกตำหนิติเตียนด่าว่าทุกวี่วัน
ดังนั้นจึงผันกระแสเปลี่ยนไปโจมตีพรรคเพื่อไทยโดยตรง และมุ่งเน้นไปที่นายทักษิณ ชินวัตร ในลักษณะ“ทุกปัญหาด่าทักษิณ” หรือทำอะไรที่คิดว่าพอจะได้คะแนนหน่อยก็ต้อง เกทับ บลัฟแหลก นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งๆ ที่นายทักษิณถูกยึดอำนาจมาถึง 15 ปีแล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อหมดปัญญาสิ้นท่าที่จะทำลายล้างกันทางการเมือง อะไรหยิบฉวยได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน ไม่ต่างจากคนที่ใกล้จมน้ำตาย เห็นสวะลอยมาก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน นี่คือสภาพกระแสสังคมที่เกิดขึ้นในขณะนี้
แต่กระนั้นหลายเดือนผ่านมาก็ไม่มีวี่แววว่ากระแสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยจะอ่อนลง กลับคึกคักอย่างยิ่งโดยเฉพาะในชนบท อะไรเล่าที่เป็นเหตุให้เป็นเช่นนี้
จำเป็นจะต้องกล่าวว่าแม้ว่าพรรคไทยรักไทยหรือที่สืบต่อมาเป็นพรรคเพื่อไทยที่มีเงาร่างของครอบครัวชินวัตรสนิทแน่นนั้น มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองอื่น นั่นคือลักษณะจัดตั้งและระบบการจัดตั้งมวลชนซึ่งพรรคการเมืองอื่นไม่มีหรือทำไม่ได้
ในปีพุทธศักราช 2545 นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้มอบหมายให้ทีมงานของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นำสารพร้อมด้วยคณะผู้บริหารพรรครวม 8 คน ไปจำเริญไมตรีกับหน่วยงานจัดตั้งสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อศึกษาเรียนรู้ระบบบริหารจัดการพรรคการเมืองที่มีลักษณะมวลชนและมีประสบการณ์ความชำนาญในการจัดตั้งมวลชนที่ดีที่สุดของโลก
หลังจากนั้นคณะผู้แทนพรรคไทยรักไทยก็ได้ไปศึกษาระบบงานและวิธีการทำงานในการบริหารพรรคการเมืองที่มีลักษณะมวลชน ศึกษาลักษณะและวิธีการจัดตั้งมวลชน และการจัดโครงสร้างพรรคการเมืองให้มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองของประชาชน ที่มิใช่มีบทบาทเฉพาะในรัฐสภาเท่านั้น
แต่มีบทบาทซึมลึกลงไปยังมวลชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งได้กำหนดสมรภูมิใหญ่ไว้ที่ภาคอีสานภาคเหนือ ภาคกลาง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าพรรคการเมืองใดที่ได้ชัยชนะในสามสมรภูมิใหญ่นี้ก็มีโอกาสได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรที่จะจัดตั้งรัฐบาลขึ้น
พรรคไทยรักไทยได้โหมการจัดตั้งมวลชนตามแบบแผนวิธีการในการจัดตั้งของพรรคมวลชนแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นจึงทำให้มวลชนรวมทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายเป็นมวลชนของพรรค และเป็นผู้กำหนดตัวผู้สมัครเลือกตั้งของพรรค จึงทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเป็นผู้แทนของมวลชน โดยการคัดสรรเลือกเฟ้นของมวลชนเอง
จึงทำให้มวลชนในทุกพื้นที่เลือกตั้งไม่ใช่มวลชนของผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่เป็นมวลชนของพรรค ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้ง มวลชนก็ได้สนับสนุนผู้แทนของตนเองที่ได้เสนอและกำหนดขึ้น และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
เพราะเหตุนี้พรรคไทยรักไทยไม่ว่าจะกลายพันธุ์มาเป็นพรรคไหนก็ตาม ซึ่งได้สืบทอดกรรมวิธีการจัดตั้งดังกล่าวจึงหยั่งรากลึกลงไปยังมวลชน เป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน เป็นผลให้ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งก็ได้รับชัยชนะ
ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยเมื่อย้ายไปอยู่พรรคอื่นจึงพ่ายแพ้ต่อผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย และเป็นผลให้ได้รับชัยชนะสูงสุดคือได้เสียงข้างมากในสภาแต่เพียงพรรคเดียว
นี่คือที่มาของกระแสแลนด์สไลด์ ดังนั้นการที่มี สส. หรือนักการเมืองเก่าบางคนของพรรคเพื่อไทยย้ายไปพรรคอื่น แต่มวลชนในพื้นที่ก็มิใช่มวลชนของนักการเมืองนั้น ยังคงเป็นมวลชนของพรรคเพื่อไทยอยู่ นี่จึงเป็นรากฐานสำคัญว่าทำไมกระแสแลนด์สไลด์จึงยังกระพือโหม
มาถึงวันนี้ก็มีการประเมินผลอย่างร้ายที่สุดว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยอาจจะได้คะแนนเสียงระดับ 200 เสียง เพียงมีเสียงจากพรรคพันธมิตร 51 เสียงเท่านั้นก็จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี