เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ศาลสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.มีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” กรณีเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงตกเป็นจำเลยพัวพันคดีสังหารนักข่าวชาวซาอุฯ จามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) ที่อิสตัลบูล
ตุรเคีย
อ้างเหตุผลว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับรอง “สิทธิคุ้มกันทางกฎหมาย” ให้แล้ว
1. ถ้ายังจำกันได้ รัฐบาลสหรัฐนี่เอง ที่เป็นหัวหอกในการข่มขู่จาบจ้วง ให้ร้ายมกุฎราชกุมาร โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน แห่ง ซาอุดีอาระเบียหรือ Mbs อย่างรุนแรง สาดเสียเทเสีย ยาวนาน
โดยที่ฝ่ายสหรัฐไม่เคยแสดงหลักฐานอันใดที่มั่นคงหนาแน่นเลยแม้แต่น้อย
โจ ไบเดน ถึงขนาดเคยประกาศกร้าวว่า ซาอุดีอาระเบีย และ MbS ต้องชดใช้อย่างสาสมในคดีของคาช็อกกี
สร้างความหวังให้กับ ฮาติซ เซนจิซ คู่หมั้นของคาช็อกกีที่นำคดีขึ้นศาลสหรัฐ
ฝ่ายซาอุฯ ปฏิเสธมาโดยตลอดว่า Mbs ไม่มีส่วนรู้เห็น
ขณะเดียวกัน ซาอุฯ ก็เป็นลูกค้าซื้ออาวุธสงครามรายใหญ่จากสหรัฐ และยังเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
ระยะหลัง ซาอุฯ ค่อยๆ ถอยห่างความสัมพันธ์ออกจากสหรัฐ และเริ่มสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมกับจีน รัสเซีย และกลุ่ม BRICS
สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในสหรัฐยอบแยบเต็มที พร้อมๆ กับ สงครามเศรษฐกิจ สงครามรัสเซีย-ยูเครน เกิดวิกฤตพลังงาน นั่นทำให้สหรัฐตระหนักว่าตนเองขาดซาอุฯ ไม่ได้ ยิ่งกว่าที่ซาอุฯ อาจขาดสหรัฐก็ได้
เคยคิดว่า ซาอุฯ และ MbS เป็นลูกไก่ในกำมือ แต่ไม่ใช่เสียแล้ว
ยิ่งปัจจุบัน MbS รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศซาอุฯเต็มตัว
2. เมื่อกลางปีนี้เอง โจ ไบเดน ก็บินไปพบ MbS ที่ซาอุฯ
ไปขอให้ทางซาอุฯ เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และหวังสานสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐ
หลังจากนั้น ไม่กี่เดือน รัฐบาลโจ ไบเดน ประกาศว่า Mbs มีสิทธิ์คุ้มกันที่จะไม่ถูกไต่สวนในข้อหาฆาตกรรม จามาล คาช็อกกี
โดยรัฐบาลไบเดนนั่นเอง ได้ออกเอกสารอย่างเป็นทางการส่งถึงศาลสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ทำให้ MbS ได้สิทธิ์คุ้มกันที่ไม่ต้องถูกไต่สวนในคดีอาชญากรรม ก่อนเส้นตายที่กระทรวงยุติธรรมจะต้องตอบศาลของสหรัฐพอดี
ในคำวินิจฉัยของศาล เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า ศาลต้องยอมรับจุดยืนของรัฐบาลอเมริกันที่ประกาศแล้วว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดซึ่งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นทั้งมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุฯทรงได้รับสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในฐานะที่ทรงเป็น “ประมุขรัฐ”
3. ในเพจ The World Echo ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจ ระบุไว้บางตอนว่า
“...จำได้ไหมว่าลุงแซมนี่แหละ ที่ด่าเจ้าชายซาอุดีอาระเบียพระองค์นี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกลุ่มโอเปกพลัสและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ตอนมาเมืองไทย ได้ใจคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะสาวๆเพราะทรงพระหล่อ รวย ยิ้มแย้มแจ่มใส เล่นเอาสาวไทยเคลิ้มไปหลายคน
ดูทรงแล้วเจ้าชายมุ่งหน้ามาสานสัมพันธ์กับประเทศทางฝั่งตะวันออกมากขึ้น โดยสะบัดบ๊อบใส่ลูกพี่ใหญ่อย่างลุงแซม ทั้งที่ซาอุฯนั้นเป็นลูกหาบอันดับหนึ่งของอเมริกามานาน
ไม่กี่เดือนก่อน โจ ไบเดน เพิ่งบินไปวิงวอนขอร้องให้ทางโอเปกพลัสผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่เจ้าชายทรงพระเมิน ลุงโจนี่ก็จริงๆ เลย ไปขอร้องเจ้าชาย แต่ดันด่าเจ้าชายรัวๆ เรื่องคดีคาช็อกกี จากนั้นความสัมพันธ์ของอเมริกากับซาอุฯก็อึมครึม จนถึงขั้นทำเนียบขาวและกลาโหมคิดแผนแก้แค้นเอาคืนซาอุฯเลยทีเดียว ความเดิมมีประมาณนี้แหละ
อาทิตย์นี้ชาวโลกฮือฮา พลางอดคิดไม่ได้ว่า ต้องมีอะไรในกอไผ่นอกจากหน่อไม้แน่ๆ เพราะศาลสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พิพากษา “ยกฟ้อง” กรณีเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่ทรงตกเป็นจำเลยพัวพันคดีสังหารนักข่าวชาวซาอุฯ จามาล คาช็อกกี โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับรอง “สิทธิคุ้มกันทางกฎหมาย” ให้แล้ว
ฮั่นแน่... แต่ก่อนด่ารัวๆ ตอนนี้ยกประโยชน์ให้ซาอุฯแล้วสินะ แลกกับอะไรล่ะ ลุงแซม หนนี้
...คาดว่าอเมริกาคงรู้แล้วว่าลูกค้าซื้ออาวุธรายใหญ่อย่างซาอุฯไม่ง้อและเริ่มจะตัดหางปล่อยวัด เลยพยายามโอ้โลมเอาใจไม่ให้หลุดมือแถมอยากดึงซาอุฯให้ห่างจากกลุ่ม BRICS และอยากได้น้ำมันราคาถูกอย่างที่เคยได้มาเร่ขายกลุ่ม EU นั่นแหละเพื่อฟันกำไร”
4. ส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยเรา ล้วนมีแต่ข่าวดี
ต้องชื่นชมนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงการต่างประเทศ ที่สามารถฟื้นสัมพันธ์กับซาอุฯ ขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ(ตั้งแต่ก่อนที่ผู้นำสหรัฐจะเดินทางไปซาอุฯเสียอีก)
หลังจากนั้น เมื่อ MbS เดินทางมาในช่วงประชุมเอเปกในฐานะแขกพิเศษ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความสัมพันธ์อันดียิ่งระหว่างไทย-ซาอุฯ มีความจริงใจต่อกัน และบรรลุข้อตกลงการค้าการลงทุนอันจะต่อยอดความสัมพันธ์ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวมูลค่านับล้านล้านบาทต่อไป
นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรืออีอีซี) เผยผลการหารือร่วมกับทางรัฐบาลและภาคเอกชนของซาอุดีอาระเบีย ว่า ในปี 2566 ปีเดียว จะมีการลงทุนขนานใหญ่จากซาอุดีอาระเบียมายังประเทศไทยสูงถึง 300,000 ล้านบาท โดยแจ้งว่า มีความประสงค์จะลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเมดิคัล แคร์ อุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบียอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
นี่คือความจริงใจ ที่แปรมาเป็นผลประโยชน์ที่มั่งคั่งและยั่งยืนของประเทศชาติ
มิใช่เล่นการเมืองแบบ The Ugly American
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี