ดีใจไม่ตื่นเต้น แต่ประหลาดใจ ที่มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2566 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกของปีกระต่าย ช่วงหนึ่งนายกฯ ขอให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากห้องประชุมเพราะ คณะรัฐมนตรีต้องประชุมลับเรื่องความร่วมมือกับประเทศกัมพูชาในการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนเพื่อนำก๊าซ และน้ำมันจำนวนมหาศาลมาใช้ประโยชน์
ร่วมกัน
ในส่วนที่ดีใจ คือ รัฐบาลคิดทำในสิ่งดีที่มีผลประโยชน์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานในภาวะที่ราคาก๊าซและน้ำมันผันผวน อันเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาเกือบสองปีแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่า จะสงบลงได้อีกทั้งปริมาณก๊าซธรรมชาติในเมียนมา มีท่าทีร่อยหรอลงทุกวัน ดังนั้นนับว่าเป็นข่าวดีที่ประเทศไทยกับกัมพูชาร่วมมือกันพัฒนานำก๊าชและน้ำมันจากพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ที่ธนาคารโลกเคยประเมินว่าแหล่งพลังงานในบริเวณไหล่ทวีปกัมพูชา-ไทย น่าจะมีน้ำมันมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรล และ ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตขึ้นมาใช้ประโยชน์
ส่วน นสพ.ผู้จัดการ ประเมินว่าก๊าซและน้ำมันมีมูลค่า 5.5 ล้านล้านบาท หาก ไทย-กัมพูชา ประสบความสำเร็จในการพัฒนาร่วมกันในพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร ในอ่าวไทย
เรื่องขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนในทะเลอ่าวไทย มีมาตั้งแต่ปี 2518 แต่ยืดเยื้อมายาวนานเพราะกัมพูชามีสงครามกลางเมืองกว่าสี่สิบปี และ หลังจากปี 2533 เมื่อสงครามสงบ และกัมพูชา มีรัฐบาลที่มั่นคง รัฐบาลไทยกับกัมพูชา มีการเจรจากันมาทุกรัฐบาล คืบหน้าบ้างไม่คืบบ้างขึ้นอยู่ที่ความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนซึ่งยังมีประปราย จนกระทั่งถึงปลายทศวรรษ 2550 การเจรจาเรื่องพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันเริ่มมีความก้าวหน้ามาตามลำดับ แต่เนื่องจากประเทศไทยเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายถี่เกินไปเป็นเหตุให้การเจรจาเป็นไปอย่างเชื่องช้า
และหลังจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจจากรัฐบาลผีหัวขาด เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ถึงวันนี้ประเทศไทยมีรัฐบาลนำโดยพลเอกประยุทธ์คนเดียวมากว่าแปดปี แถมสี่ปีแรกรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือคือมาตรา 44 จึงมีคำถามว่าแปดปีที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ทำอะไรอยู่ทำไมต้องประชุมลับเอาตอนนี้เพื่อที่จะนำเรื่องการทำข้อตกลงระหว่างประเทศเข้าสภาในขณะที่สภาใกล้หมดวาระแล้ว
หากจะให้ความเป็นธรรมแก่รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ก็ต้องยกความดีให้อดีตรัฐมนตรีพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เคยกล่าวเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2562 ว่า“เรื่องเจรจากับกัมพูชาเป็นความตั้งใจของรัฐบาล ที่จะดำเนินการหลังจากติดค้างมานาน ซึ่งกระทรวงพลังงานเริ่มดำเนินงานบ้างแล้ว และพอจะเห็นปัญหาและอุปสรรค แต่เป็นความตั้งใจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่จะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”
และเมื่อนายสนธิรัตน์ พ้นจากตำแหน่งไป ก็ได้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยถึงประเด็นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย–กัมพูชา ในงานสัมมนาของฐานเศรษฐกิจเมื่อ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่าในระยะต่อไปจะหารือความเป็นไปได้ในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรัฐบาลฟื้นคณะการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนและแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาแล้ว ซึ่งสืบเนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 13 ก.ย. 2565 กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่า ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับกัมพูชาแล้ว โดยการหารือครั้งแรกเป็นไปได้ด้วยดีและมีแนวโน้มคืบหน้าอาจนำพลังงานจากพื้นที่ทับซ้อนมาใช้ได้ภายในไม่เกิน 10 ปี ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มการสำรวจปิโตรเลียมในแหล่งที่มีศักยภาพในการผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติม
นี่คือความประหลาดใจว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ เพิ่งประชุมลับวันที่ 3 ม.ค.จึงอนุมาน ได้ว่าการประชุมลับที่ไม่เป็นความลับครั้งนี้ คือ วิธีการหาเสียงของพลเอกประยุทธ์ หลังจากที่สื่อต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่เชียร์ลุงตู่และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกหน้า ประเมินผลการเลือกตั้งที่จะมาถึงว่าพรรครวมไทยสร้างชาติที่ลุงตู่จะไปร่วมจมท้ายได้คะแนนมาอันดับห้า นายสำราญ รอดเพชรผู้ดำเนินรายการ โชว์ผังการประเมินว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ สส. 180 คน รองลงมา เป็นพรรคภูมิใจไทยได้ สส. ร้อยคนขึ้นไป ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติได้ สส. มาอันดับห้าน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์
จากการประเมินของสื่อที่เชียร์ลุงตู่ออกหน้า ได้สร้างความหวั่นไหวในหมู่กองเชียร์ลุงตู่กันเอง และคิดว่าน่าจะมีผลกระทบไปถึงความรู้สึกและการตัดสินใจของลุงตู่ นายกฯถึงได้พูดกับนักข่าว เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า “ไม่เคยคิดไปนั่งเป็นประธานพรรค (รทสช.) หรือ เป็นซูเปอร์บอร์ด”
หากผู้เขียนเป็น “ลุงตู่” ยอมรับว่าหวั่นไหวเป็นธรรมดา เพราะลงทุนเอาหัวหน้าพรรค รทสช.มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างราคาเวลาหาเสียงเดินตามหลังนายกฯได้ โดยใช้คำว่า ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเลขาธิการนายกฯ แต่กระนั้นก็ตามยังไม่มี สส.บ้านใหญ่ ซึ่งในแวดวงการเมืองถือว่าเป็น สส.เกรดเอ สส.บ้านใหญ่ยังไม่ยอมย้ายเข้ามาร่วมงานกับพรรคที่คาดว่าจะเสนอชื่อลุงตู่ เป็นแคนดิเดตนายกฯ อย่าว่าแต่สส.บ้านใหญ่เลยแม้แต่นักเลือกตั้งที่แพ้มาซ้ำซากเป็นสส.สอบตกมาแล้วสามสมัยพรรครวมไทยสร้างชาติเชิญให้มาสมัคร สส.ในนามพรรคเขายังไม่มา“เราอยู่กับพรรคพลังประชารัฐของลุงป้อมดีกว่า ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ” ว่าที่ผู้สมัครสส.พปชร.กล่าวกับแนวหน้า
นอกจากหวั่นไหวว่า รทสช.ได้คะแนนไม่เป็นไปตามราคาคุยแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย เมื่อมีความมั่นใจว่าจะได้ สส.ร้อยคน ขึ้นไป “อาจารย์ใหญ่” ของพรรคภูมิใจไทย ก็อยากให้ศิษย์รักเป็นนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยถึงได้พูดว่า “หากผมรวบรวม สส.ได้ 250 คน สว.จะไม่ยอมให้ผมเป็นนายกฯหรือ?”
นอกจากมีคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกฯเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องร้ายๆ ที่ซุกไว้ใต้พรมหลายปี เริ่มถูกตีแผ่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนายกฯเคยบอกว่า ต้องปฏิรูปเป็นอันดับแรก แปดปีที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ไม่พัฒนา หรือปฏิรูปตำรวจ แม้แต่น้อย เรื่องทุนจีนสีเทาที่ขาใหญ่ในพรรคแกนนำร่วมรัฐบาล อาจมีส่วนพัวพัน ข้อครหาเรื่องประมูลรถไฟฟ้าที่มีส่วนต่างจากผู้ประมูลเสนอราคาต่ำกว่าหกหมื่นกว่าล้านบาท เรื่องอธิบดีกรมอุทยานฯ เรื่องแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่เกินราคาท้าทายกฎหมาย เรื่องวุฒิภาวะของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย และเรื่อง อื่นๆ อีกมากมาย เรื่องเลวร้ายจะถูกเปิดโปงออกมาตอน
หาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม คอลัมน์ทวนกระแสข่าว ยังเชื่อมั่นว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอดีตนายทหารที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ พลเอกประยุทธ์ ซื่อสัตย์ มือสะอาด ไม่โกงชาติปล้นแผ่นดิน แต่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พลเอกประยุทธ์จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ หากสิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นจากผู้ใต้บังคับบัญชา
จึงพูดได้ว่าหากเราเป็นพลเอกประยุทธ์ก็จะอดหวั่นไหวกับอนาคตทางการเมืองไม่ได้ความไม่แน่นอนของคะแนนเสียงที่จะได้มา และความคิดก้าวหน้าของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยกระดับจากพรรคขนาดกลางขึ้นมาเป็นขนาดใหญ่ หากเป็นลุงตู่เราจะดูพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นแบบอย่าง ที่วางมือทางการด้วยความสง่างามกับคำพูดที่ว่า “แปดปีที่ผ่านมาประเทศชาติมั่นคงขึ้นมาก ผมป็นนายกฯมาแปดปีห้าเดือนเศรษฐกิจดีขึ้นมากแล้ว พรรคชาติไทยชนะเลือกตั้งได้ สส.มากกว่าพรรคใดคุณชาติชาย(ชุณหะวัณ) สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี” ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า ป๋าคงคิดว่าถ้ารับคำเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีตามที่พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชากรไทยมาเชิญเป็นนายกฯ ป๋าเป็นนายกฯได้ไม่นานก็ถูกพรรคใหญ่กดดันเรียกร้องนั่น โน่นนี่เหมือนที่เคยทำมาเมื่อคราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและแยกตัวไปเป็นฝ่ายค้าน ป๋าเลยพูดว่า “ผมพอแล้ว”
พลเอกประยุทธ์ เมื่อสภาใกล้หมดวาระเริ่มแสดงตัวเป็นการเมืองมากขึ้น โดยออกเดินสายตรวจราชการต่างจังหวัดถี่ขึ้น และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือมีรัฐมนตรี ที่เป็นแกนนำพรรค รทสช. โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคที่เพิ่งตั้งให้เป็นเลขาฯติดสอยห้อยตามไปทุกที่ตรวจราชการ ดังนั้น จึงสรุปว่าการประชุมลับวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา เป็นฉากหนึ่งของการหาเสียง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี