ไม่มีใครในเมืองไทยไม่รู้ว่า การเลือกตั้งในบ้านเมืองนี้เต็มไปด้วยเหตุทุจริตสารพัดรูปแบบ แต่น่าสมเพชที่แม้ทุกคนจะรู้ดีว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง แต่ทว่าทุกคนก็ยังปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น แล้วที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือมีผู้เต็มใจเข้าร่วมกระบวนการทุจริตการเลือกตั้งด้วย
พูดตรงๆ คือ การเลือกตั้งในเมืองไทยเต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง โดยการแจกเงิน และสิ่งของต่างๆ รวมถึงให้ผลประโยชน์อื่นๆ เพื่อแลกกับการลงคะแนนเลือกตั้งให้ตนเอง หรือไม่ลงคะแนนให้ฝ่ายตรงข้ามกับผู้เสนอเงินหรือสิ่งของให้กับผู้ขายเสียง
การซื้อเสียงในสังคมไทยมีหลายรูปแบบนอกเหนือจากการแจกเงิน แจกสิ่งของ และให้ผลประโยชน์อื่นๆ แล้ว ยังมีการซื้อตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือซื้อตัวคู่แข่งทางการเมืองด้วย และซื้อตัวบุคคลที่มีอิทธิพลหรือเป็นที่นิยมในหมู่บ้านหรือชุมชน เพราะการซื้อตัวผู้เป็นที่นิยมในชุมชนจะช่วยทำให้คนในชุมชนลงคะแนนให้ผู้ซื้อเสียงได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
การซื้อสิทธิ์ขายเสียงในเมืองไทยมีรูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ในระยะประมาณ 12-16 ปีที่ผ่านมานี้ ได้เกิดรูปแบบการทุจริตใหม่คือการทุจริตเชิงนโยบาย การทุจริตเช่นนี้ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องที่ยากจะเอาผิดโดยกฎหมายได้ เพราะผู้กระทำการทุจริตเป็นผู้มีอำนาจรัฐ ซึ่งการทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบเชิงระบบหรือโดยนโยบายรัฐนั้น คือการทุจริตที่ใช้กฎหมายและอำนาจรัฐเป็นเกราะกำบังความผิด และเป็นเครื่องมือ เป็นการกระทำโดยผ่านการวางแผนของผู้มีอำนาจรัฐ มีการใช้กฎระเบียบและกฎหมายเป็นเครื่องมือช่วยกระทำความผิด เพื่อทำให้ทุกอย่างดูเสมือนไม่มีการกระทำผิดตามข้อห้ามของกฎหมาย
การทุจริตเชิงนโยบายคือการกระทำความผิดที่ดูเสมือนไม่มีความผิด โดยผ่านกรรมวิธีร่วมกันทุจริตในกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐ (รัฐบาล) กับข้าราชการ และเอกชน โดยทั้งหมดร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ แล้วแบ่งงานกันทำ โดยอาศัยอำนาจ บทบาท และหน้าที่ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในมือ การทุจริตเช่นนี้จะเริ่มตั้งแต่การวางแผนจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน แล้วไล่เรื่อยไปถึงการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ดังจะพบเสมอๆ ในการอนุมัติงบประมาณแผ่นดินเพื่อทำโครงการต่างๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างแท้จริง แต่มักเป็นโครงการที่เอื้อให้เกิดผลประโยชน์เฉพาะกับกลุ่มของนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงการเท่านั้น
ล่าสุดมีเหตุทุจริตโดยใช้อำนาจรัฐเป็นกลไก คือการทุจริตด้วยการหว่านและแจกเงินหลวง โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชนระดับล่าง และเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนกระแสเงินในระบบเศรษฐกิจ
อันที่จริงแล้ว การตั้งใจช่วยให้ประชาชนระดับล่างได้รับเงินแจกจากรัฐบาลเพื่อนำไปใช้ดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจมากนัก หากว่าเงินไปถึงมือประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เอะอะก็แจกเงิน นึกอะไรไม่ออกก็แจกเงิน แล้วก็หว่านเงินไปเรื่อยๆ โดยเงินที่หว่านนั้น มาจากการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องแบบนี้เข้าข่ายทุจริตเชิงนโยบาย เพราะผู้มีอำนาจรัฐที่สั่งให้หว่านเงิน ต้องการได้รับคะแนนนิยมทางการเมืองมากกว่าต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง
การทุจริตคอร์รัปชันเชิงนโยบายคือการทำผิดกฎหมายโดยผู้มีอำนาจรัฐและพวกพ้อง แต่ทว่ากฎหมายกลับไม่สามารถเอาผิดกับผู้ก่อเหตุทุจริตได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การทุจริตเช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีโครงการของอำนาจเอื้อให้เกิดการทุจริต แล้วก็ยังมีอำนาจรัฐเป็นอุปสรรคขัดขวางการเอาผิดทางกฎหมาย และยังใช้อำนาจรัฐเพื่อปิดกั้นกลไกการตรวจสอบโดยหน่วยงานอื่นๆ รวมถึงการตรวจสอบโดยภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน จึงทำให้ผู้มีอำนาจรัฐจงใจทุจริตคอร์รัปชัน และซื้อสิทธิ์โดยผ่านข้ออ้างว่าทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี