วาระของสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบันนี้จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2566 มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นวาระการดำรงตำแหน่งและต้องมีการจัดเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดประมาณการไว้ในเดือนพฤษภาคม 2566
เมื่อวาระของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง วาระการดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีก็เป็นอันสิ้นสุดลงไปพร้อมกัน ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่จึงเป็นอันหมดวาระไปพร้อมกับสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องรักษาการไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งน่าจะตกประมาณเดือนกรกฎาคม 2566
เว้นแต่การเลือกตั้งนั้นจะไม่แล้วเสร็จ เช่น การเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยทั่วไป หรือการเลือกตั้งเป็นโมฆะหลายเขต จนจำนวนที่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ไม่พอที่จะครบจำนวนที่จะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ ก็จะต้องจัดการเลือกตั้งต่อไปจนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ หรือจนกว่าจะได้จำนวน สส.พอที่จะเปิดประชุมรัฐสภาได้
นายกรัฐมนตรีอยู่ภายใต้บังคับรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ที่จะอยู่ในตำแหน่งรวมกันเกิน 8 ปีไม่ได้ แต่ไม่ให้นับระยะเวลารักษาการเข้าในระยะเวลา 8 ปีด้วย
และระยะเวลารักษาการนั้นจะสั้นจะยาวประการใดก็ขึ้นอยู่กับผลการจัดการเลือกตั้ง ในปลายสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การเลือกตั้งเป็นโมฆะหลายครั้ง ดังนั้นจึงมีการรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกือบสองปี และเกิดเป็นวิกฤตทางการเมืองที่ร้ายแรง จนเกิดข้ออ้างให้มีการยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจมาจนถึงปัจจุบันนี้
กำหนดการเลือกตั้งดังกล่าวอาจจะเร็วขึ้นกว่าที่ กกต. ได้ประมาณการกำหนดตามปกติได้โดยการยุบสภา ซึ่งตลอดระยะเวลานับตั้งแต่เปิดประชุมสมัยสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎรได้มีแรงกดดันทางการเมืองให้ยุบสภาอย่างต่อเนื่อง
โดยมาตรการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั่นคือการทำให้สภาล่ม คือ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุมจึงทำการประชุมไม่ได้
ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องมีเสียงข้างมาก อันเป็นการแสดงฉันทามติของประชาชนและเสียงข้างมากนั้นก็แสดงออกโดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นั่นคือถ้ารัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้จริงก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องกำกับสั่งการให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลเข้าร่วมประชุมให้ครบเป็นองค์ประชุม ซึ่งเรื่องนี้โดยปกติ สส.ทุกคนมีหน้าที่ต้องเข้าประชุม เว้นแต่จะเป็นการปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อแสดงออกถึงการไม่รับรองรัฐบาลโดยการไม่เข้าประชุม
ดังนั้นการไม่เข้าประชุมในลักษณะนี้จึงไม่ใช่ความผิดของ สส. แต่เป็นปฏิบัติการทางการเมืองปกติในระบอบประชาธิปไตย และเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล
การที่สภาล่มโดย สส.เข้าประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุมแสดงว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลได้ปฏิเสธการรับรองรัฐบาลนั้นแล้วจึงไม่เข้าร่วมประชุม และทำให้องค์ประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุม ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไม่สามารถมีเสียงข้างมากในสภา จึงมีหนทางในระบอบประชาธิปไตยเพียงสองทางเท่านั้น
คือ นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง เป็นผลให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เพื่อให้รัฐสภาทำการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดินแทน หรือนายกรัฐมนตรีต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เสนอให้ยุบสภา ถ้าทรงเห็นด้วยก็จะทรงลงพระปรมาภิไธยตราพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาและกำหนดการเลือกตั้งใหม่
นี่คือการเมืองและวิธีปฏิบัติที่เป็นปกติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแต่เป็นที่น่าแปลกประหลาดที่ในปัจจุบันนี้รัฐบาลไม่สามารถมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่ประจักษ์แล้ว และไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนแล้วเช่นเดียวกัน
แต่กลับไม่มีการปฏิบัติการให้เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย คือ นายกรัฐมนตรีไม่ลาออกและไม่นำความขึ้นกราบบังคมทูล จึงทำให้เกิดการอิหลักอิเหลื่อและทำให้เกิดวิกฤตมากขึ้นอย่างทั่วด้าน ซ้ำเติมให้ความเดือดร้อนเสียหายจากวิกฤตเกี่ยวกับโรคระบาดหนักหน่วงขึ้นไปอีก
ดังนั้นในวันนี้ทุกหัวระแหงจึงพากันเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกหรือไม่ก็ยุบสภาเสียงดังกึกก้องไปทั้งสภาและนอกสภา แต่ก็ไม่มีปฏิบัติการใดๆ
การปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะนี้ไม่บังเกิดประโยชน์แก่ใครเลย ชาติบ้านเมืองก็ยิ่งเสียหายเพราะขาดความเชื่อมั่นจากนานาชาติ บรรดาข้าราชการทั้งหลายก็ระส่ำระสาย เกิดสภาพเกียร์ว่าง หรือไม่ก็โกงได้โกงเอา จนเป็นข่าวอื้อฉาวทั้งแผ่นดินไม่หยุดหย่อนในขณะนี้
ผู้ประกอบการทั่วประเทศและประชาชนทุกภาคส่วนก็เดือดร้อนเสียหาย เพราะสารพัดปัญหาไม่มีการแก้ไข ปัญหาน้ำมันแพง ปัญหาค่าไฟแพง
ปัญหาปล้นสะดมทรัพย์สมบัติชาติ เช่น วงจรดาวเทียมที่ปล้นสะดมกันอย่างหน้าตาเฉยกลางวันแสกๆ ชนิดเย้ยฟ้าท้าดิน และการข่มเหงรีดไถข้าราชการชั้นผู้น้อยและประชาชน จนทำให้ระบบบริหารราชการแผ่นดินเละเป็นโจ๊ก
พรรคการเมืองและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องก็ถูกประชาชนสาปแช่งทุกสารทิศ ทุกแห่งหนที่ประชาชนพบตัวก็จะรุมกันก่นด่าประจานประณามให้ได้อาย และมีความผูกเจ็บผูกแค้นที่จะรณรงค์กันไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมืองอีกต่อไป
เหล่านี้คือความเสียหายต่อทุกภาคส่วนที่กำลังขยายตัวลุกลาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี