ใกล้ยุบสภาเข้ามาทุกขณะและเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่สังคมไทยได้เห็นความเลวร้ายของนักเลือกตั้งบางคนที่ฟลุคได้เป็น สส.เพราะคะแนนปัดเศษ นักเลือกตั้งที่หากินกับสภาเหล่านี้ฉวยโอกาสช่องว่างทางกฎหมายที่เขียนขึ้นตามจุดมุ่งหมายให้พรรค การเมืองอ่อนแอ คือ มีความพยายามจะเซตซีโร่ พรรคการเมืองเก่าๆ และจัดระบบพรรคการเมืองกันใหม่ เมื่อทำไม่ได้ก็จัดการให้ยกเลิกสมาชิกพรรคการเมืองเก่าทั้งหมดแล้วให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกันใหม่ และให้พรรคการเมืองต่างๆ หาสมาชิกกันให้ได้ตามกำหนดไม่ต่ำกว่า 5,000 คนทั่วประเทศ แล้วจัดการเลือกตั้งแบบสัดส่วน คือให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและนำคะแนนที่ได้รับเลือกตั้งมาคำนวณแบบพิสดาร ว่าพรรคชนะเลือกตั้งมาจะมี สส.ที่ควรได้กี่ที่นั่งหาร จาก สส.ทั้งหมดในสภา500 คน เป็น สส.เขต 350 คน และสส.บัญชีรายชื่อ 150 คน โดยนำคะแนนทั้งหมดทั่วประเทศของทุกพรรคมารวมกันแล้วหารตามจำนวนที่ชนะเป็นจำนวน สส.ว่ากันว่า การคำนวณ สส.สัดส่วนแบบนี้ ไม่ทำให้บัตรเลือกตั้งทุกใบตกน้ำ หรือสูญเปล่า
ในเบื้องต้น ประมาณการกันว่า พรรคที่ชนะเลือกตั้งได้ประมาณ 6-70,000 คะแนน ก็ได้ สส.หนึ่งที่นั่ง เมื่อได้ข้อสรุปเบื้องต้นการคำนวณแบบนี้ นักเลือกตั้งฉลาดแกมโกง ก็รวบรวมสมัครพรรคพวกแห่กันไปจดทะเบียนตั้งพรรคการเมือง ด้วยความหวังว่าส่งผู้สมัครตามเขตที่มีเป้าหมายให้ได้จังหวัดละหกเจ็ดร้อยหรือพันคะแนนก็อาจได้ สส.อย่างน้อยหนึ่งคน
พรรคเฉพาะกิจ เลยตั้งกันขึ้นมา 125 พรรค แต่ผ่านคุณสมบัติส่งผู้สมัครเลือกตั้งได้เพียง 85 พรรค การเลือกตั้งในปี 2562 จึงมีผู้สมัคร สส. หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยกว่าคนมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเปรียบเทียบจากการเลือกตั้งในอดีตที่มีสส. อย่างมากที่สุดสามพันคน และ พรรคการเมืองส่งผู้สมัครมีไม่เกิน 25 พรรค
และหลังการเลือกตั้งพรรคเฉพาะกิจพรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้ก็ชนะเลือกตั้งเกินความคาดหมาย เนื่องจากว่าเมื่อได้คะแนนที่รับเลือกตั้งทั่วประเทศมารวมกันแล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งสับสน ไม่รู้จะคำนวณด้วยวิธีใดที่เคยคิดกันว่าจะเอาหกเจ็ดหมื่นคะแนนมาหารมันไม่ลงตัวเนื่องจากบางพรรคได้คะแนน สส.เขตมามากพอได้ที่ สส.พึงมีแล้ว หลายพรรคไม่ได้ สส. เขตเลย แต่คะแนนรวมกันทั้งประเทศเกินหกหมื่นบ้างต่ำกว่าห้าหมื่นคะแนนบ้าง เพื่อไม่ให้ทุกคะแนนตกน้ำกกต. เลยเอาคะแนนที่เกินของพรรคโน้นมาเพิ่มให้พรรคนี้ เอาพรรคนี้ไปเสริมให้พรรคนั้นคือคำนวณกันอย่างไรก็ได้เพื่อให้เป็นสส. ห้าร้อยที่นั่งตาม ก.ม.เลือกตั้ง สภาไทยเลยได้ สส.ปัดเศษเข้าสภามาหลายคน บางพรรคได้เพียงสามหมื่นกว่าคะแนนก็ฟลุคได้เป็นสส.ปัดเศษหนึ่งคน
พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเผื่อฟลุค ก็ได้ผลเกินความคาดหมาย เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งหาสูตรคำนวณให้ลงตัวไม่ได้
กกต.พยายามแล้วพยายามอีกคำนวณโดยการเฉลี่ยแล้วเฉลี่ยเล่า ปัดเศษแล้วปัดเศษเล่าจนได้สส.เข้าสภาในเบื้องต้น 28-29 พรรคในจำนวนนี้พรรคที่ได้ สส.เพียงคนเดียวมีถึง 15 พรรค บางพรรคมี สส.เขตคนเดียวแต่ได้ สส.บัญชีรายชื่อสี่ห้าคน ผลจากการกำหนดให้มี สส. บัญชีรายชื่อถึง 150 คนและ สส.เขตเพียง 350 คนได้สร้างความเลวร้ายกับระบบการเมืองไทย
เพราะมีนักเลือกตั้งจำนวนมากที่เข้าสภาเพื่อหวังประโยชน์เพียงได้สิทธิพิเศษ ได้นั่งเครื่องบินฟรี นั่งรถโดยสารฟรี ได้ค่ารักษาพยาบาลฟรีได้สายสะพาย ได้เงินบำนาญ สส.และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกจิปาถะ สิทธิพิเศษที่ได้รับเกินมนุษย์มนาทั่วไปจะมีได้ สส.บางรายที่มีความคิดชั่วร้ายมีความมุ่งหมาย มีความตั้งใจจะเบียดเบียนงบประมาณรัฐสภา ก็วางแผนขึ้นทะเบียน สส.บัญชีรายชื่อ ไว้หลายคน ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลังเลือกตั้งอย่างมากก็สส.บัญชีรายชื่อ เพียงคนเดียว แต่กฎหมายเลือกตั้งบัญญัติไว้ว่า ในกรณี สส.บัญชีรายชื่อลาออกไปให้เลื่อนผู้ที่อยู่ในบัญชีถัดไปขึ้นมาเป็น สส.แทน
ดังนั้นนักเลือกตั้งที่ฟลุคได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อ เมื่อเบียดเบียนงบประมาณสภาได้สักระยะหนึ่งแล้วก็ลาออกไปเพื่อเปิดทางให้ลูก เมีย หรือเพื่อนๆ ที่ตกลงกันไว้ได้เข้ามาเบียดเบียนงบประมาณ เข้ามารับสิทธิพิเศษ ได้สิทธิรับบำนาญ สส.ต่อไป
ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งสังคมไทยได้พบว่า ถึงเดือนสุดท้ายของวาระสภา มีการเปลี่ยน สส.บัญชีรายชื่อยี่สิบห้าคน ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ก.พ.เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนยุบสภา สส.จอมซ่า ที่เข้าสภามาได้เพียงคนเดียวลาออกจากการเป็นสส.บัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. วันที่ 22 ก.พ. อดีต สส.จอมซ่า ที่เป็นหัวหน้าพรรค พาเมียมาลงทะเบียน เป็นสส.บัญชีรายชื่อ แทนตน ซึ่งนางเมียก็ได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อ ได้ทำหน้าที่ในสภาไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ก็ปิดสมัยประชุมสภาซึ่งกำหนดล่วงหน้าเป็นวันที่ 28 ก.พ.และอีกไม่เกินสองอาทิตย์ก็หมดวาระสภา เพราะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะยุบสภาในเดือนมีนาคม ก่อนหมดวาระสภา 23 มีนาคม 2566
แต่ผู้ที่ได้เป็นสส.และสาบานตนในสภาแล้วถึงทำหน้าที่เพียงอาทิตย์เดียวก็ได้รับสิทธิพิเศษ รักษาพยาบาลฟรีตลอดชีวิตได้บำนาญ สส.และได้รับสายสะพายทั้งหมดนี้ คือ ความเลวร้ายของนักเลือกตั้งที่บังเอิญได้เป็นสส. เพราะข้อบกพร่องของกฎหมาย และผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติหน้าที่ให้พ้นๆ ไปทำให้สส.บางรายสร้างความเสียหายแก่ระบบการเมืองไทย ตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้าสภา สส.บางคนเข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ที่เรียกกันติดปากว่า เข้ามาหากินกล้วย สส.บางคนเข้าสภาในภาวะสับสนว่า อยู่ฐานะอะไร บางโอกาสก็อ้างว่าเป็น สส.ฝ่ายรัฐบาล สลับไปสลับมากับเป็น สส.ฝ่ายค้านขึ้นอยู่กับว่า กล้วยฝ่ายไหนมากกว่า ในบางโอกาสก็ประกาศตนเป็นฝ่ายค้านอิสระ เมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้ายของสภาก็ลาออกเปิดทางให้เมียมาเบียดเบียนงบประมาณสภาต่อเพื่อให้ได้ชื่อว่า เป็นอดีต สส.
ที่เลวร้ายกว่านั้นบางครอบครัวผัวลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อให้เมียเข้ามาเบียดเบียนงบประมาณสภาเพียงเดือนเดียว นางเมียลาออกเพื่อให้ลูกชายเข้ามาเป็นสส.รายชื่อแทนเบียดเบียนงบประมาณสภาต่อ หากอยากรู้สส.ที่มีความชั่วร้ายครอกนี้ชื่ออะไรให้ไปตรวจสอบจากสำนักทะเบียนสภาผู้แทนราษฎร
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่า“...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”
ในสภาผู้แทนฯก็เช่นกัน มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ผู้เขียนเชื่อว่า ในสภามีคนดีมากกว่าคนไม่ดีดังนั้นการเลือกตั้งที่จะมาถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งพร้อมแล้วหรือยังที่จะทำตามกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านคือกีดกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามามีอำนาจสร้างความเดือดร้อน วุ่นวาย..
สี่ปีที่ผ่านมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าคนไหนดีคนไหนไม่ดี คนไหนใส่หน้ากากคนดี ขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สติปัญญา อย่าใช้อารมณ์รักชอบเกลียดหลงก่อนเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี