ใกล้ยุบสภามาทุกขณะแล้วเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนจะหมดวาระสภาชุดที่25และจะหมดวาระนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ในวันที่ 23 มีนาคม 2566 พรรคการเมืองที่คาดหมายกันว่าจะได้เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลและผู้นำพรรคจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต่างก็เตรียมว่าที่ผู้สมัคร สส. กันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
ในบรรดาแปดสิบกว่าพรรคการเมืองที่มีสิทธิ์ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง พูดกันตรงๆ ว่าที่มีสิทธิ์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น มีอยู่เพียงสี่พรรค คือ 1.พรรคภูมิใจไทย 2.พรรคพลังประชารัฐ 3.พรรครวมไทยสร้างชาติ 4.พรรคเพื่อไทย ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่คาดหมายกันว่าเลือกตั้งปี 2566 จะได้ สส. มากกว่าคราเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 แต่มีเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างที่ไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ และเงินเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด ทำให้พรรคที่เป็นสถาบันการเมืองพรรคเดียวในประเทศไทยเป็นได้แค่พรรคร่วมรัฐบาล
เมื่อยกเพียงสี่พรรคนี้ ขึ้นมาเป็นตุ๊กตา ว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งก็จำเป็นต้องอธิบายว่าทำไม?เหตุผลแรก และกุญแจดอกสำคัญ คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสานของประเทศเป็นภาคใหญ่ที่มี สส. ได้มากที่สุดถึง 132 คน จากประวัติการเลือกตั้งในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา พรรคที่ชนะเลือกตั้งหรือได้เสียงส่วนใหญ่ในภาคอีสานได้เป็นผู้นำรัฐบาล ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์สมัย นายชวน หลีกภัย ที่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และได้เป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยกล่าวคือ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 20 สมัยที่ 1 พ.ศ. 2535-พ.ศ. 2538 และสมัยที่ 2 พ.ศ. 2540-2544 นายชวน เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 3 ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีส่วนนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27เป็นหัวหน้า ปชป.คนที่ 4 เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ.2554 เหตุที่นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่ ปชป.ชนะเลือกตั้งในภาคอีสาน เพียงห้าที่นั่ง เนื่องจากว่าพรรคที่ชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ จากภาคอีสาน หักหลังกันเองภายในพรรคตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงตกไปอยู่ที่ ปชป.ทั้งนี้ไม่นับรวม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรค ปชป.ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2519 และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อนหน้านั้นหลายสิบปี เพราะในสมัยโน้นและในสมัยนั้นการเมืองในประเทศไทยยังไม่มีธนาธิปไตย
การเลือกตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2544 เริ่มมีนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการเมือง ตั้งแต่นั้นมาประเทศไทยกลายเป็นธนาธิปไตยที่เงินเป็นปัจจัยหลักและเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการเลือกตั้ง และเมื่อประเทศไทยเป็นธนาธิปไตยสมบูรณ์แบบสื่อมวลชนและสำนักโพลล์ส่วนใหญ่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับธนาธิปไตย ปัจจุบันสังคมไทยจึงได้เห็นชื่อบุคคลต่างๆ จากสื่อ จากโพลล์ ที่คนทำสื่อคน และทำโพลล์อยากให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามลำดับดังนี้ 1.พรรคเพื่อไทย 2.ก้าวไกล 3 รวมไทยสร้างชาติ4.พลังประชารัฐ 5.ภูมิใจไทย โพลล์และสื่อส่วนใหญ่วิจัยศึกษาจากกระแสที่ปั่นขึ้นมาประกอบกับการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคการเมือง พรรคไหนประชาสัมพันธ์มาก พรรคไหนมีสื่อในสังกัดมากสื่อและสำนักโพลล์ต่างๆ ก็เผยผลวิจัยศึกษาตามหลักธนาธิปไตย ว่าพรรคนั้นพรรคนี้ได้เป็นแกนนำรัฐบาลและพรรคนั้นได้จะเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่การพิเคราะห์ผลโพลล์ของทวนกระแสข่าวแตกต่างออกไปตรงที่โพลล์นี้ สำรวจจากผู้สังเกตการณ์การเมือง และ สื่อมวลชนที่เกาะติดพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ยาวนานกว่า 40 ปี และ ผลสำรวจครั้งนี้เน้นไปที่ภาคอีสานเป็นสำคัญ และ ผลสำรวจโพลล์ทวนกระแสข่าวพบว่า เพื่อไทย ที่เคยได้ สส. อีสาน 84 เขต เมื่อครั้งเลือกตั้งมีนาคม 2562 ในการเลือกตั้งปี 2566 ถึงแม้มี สส.เขตเพิ่มขึ้นจาก 116 เขตเป็น 132 เขต แต่เพื่อไทยจะได้ สส.ไม่เกิน 70 เขต ด้วยเหตุผลที่มีพรรคอื่นๆแย่ง สส.เขตไปมากกว่า 40% ของ สส.เขตทั่วภาคอีสาน
สื่อมวลชนรุ่นเก่าและเก๋ากับนักสังเกตการณ์ทางการเมืองในภาคอีสานให้เหตุผลตรงกันว่าที่เพื่อไทย ได้ สส.น้อยลงในภาคอีสาน เพราะชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ขลัง ขายไม่ได้ และนายทักษิณเป็นขาลง ซึ่งสวนทางกับความขลัง และอิทธิพลบารมีที่แผ่คลุมทุกพื้นที่ของอาจารย์ใหญ่พรรคภูมิใจไทย
“เชื่อผมเถอะเลือกตั้งครั้งต่อไป สู้เนวินไม่ได้หรอก” ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองรุ่นเก่าและเก๋าแห่งภาคอีสานกล่าวกับแนวหน้า ซึ่งตรงกับความเห็นของสื่อรุ่นเก่าที่ติดตามการเมืองอีสานมานาน กล่าวว่า “อีสานใต้ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ เชื่อว่า ภูมิใจไทยกวาดที่นั่งได้เกือบหมดทุกเขต คาดการณ์ว่าภูมิใจไทยจะได้ สส. อีสาน 30 เขต บวกลบ”
นอกจากนั้น พรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แบ่งปัน สส. เขตอีสานไปหลายคนเขาจำแนกให้เห็นว่า “ภาคอีสานถูกประกบจากไทยสร้างไทย ที่เป็นเขตหวังผลของสุดารัตน์ 20 เขตคือ หนองคาย 2 เขต สกลนคร 2 เขต อุดรธานี 3 เขตเลย 1 เขต ขอนแก่น 2 เขต กาฬสินธุ์ 3 เขต ร้อยเอ็ด 2 เขต อุบลราชธานี 2 เขต นครพนม 1 เขตหนองบัวลำภู 2 เขต
ผู้สื่อข่าวรุ่นเก่าบอกกับแนวหน้าด้วยว่า “หลักๆเพื่อไทยเน้นหัวหาดจังหวัดอุดรธานีเป็นหลัก พรรคก้าวไกล เน้นขอนแก่น พรรคลุงตู่ (รวมไทยสร้างชาติ)เน้นโคราช..พรรคลุงตู่(รทสช.)กับพรรคลุงป้อม (พปชร.)แบ่ง สส.เขตอีสานไปได้พรรคละประมาณ 10 คน บวกลบ...ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จ.ชัยภูมิ และ เพชรบูรณ์ และ รทสช.แทรกได้ สส. บ้างในบางจังหวัดภาคอีสาน
ขอย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดไม่ใช่มาจากการสำรวจหรือผลวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นการประเมินของผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง และสื่อมวลชนที่ติดตามวัฒนธรรมการเมืองอีสานมานานหลายสิบปี ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลตรงกันว่า เหตุที่เพื่อไทยตกต่ำ เพราะ1.ในห้วงเวลาแปดปีที่ผ่านมาข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของนายทักษิณเหมือนสิบปีก่อน 2.ตัวผู้สมัครเกรดเอจำนวนมากไหลไปอยู่พรรคอื่น 3.แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และนโยบายมีส่วนทำให้คะแนนตกต่ำ “พอประกาศค่าแรง 600 บาทออกมาชาวนา และพ่อค้าขนาดเล็กขนาดกลางฉิ..หายผมมีลูกชายทำร้านอาหารในโคราช 2 ร้าน เดี๋ยวนี้คนงานมันเริ่มขอค่าแรงวันละหกร้อยแล้ว ต่อไปคนช่วยทำงานในนา ก็ขอค่าแรงหกร้อยบาท..” แหล่งข่าวกล่าว
และ เสริมว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่า แคนดิเดตนายกฯตัวจริง ไม่ใช่อุ๊งอิ๊ง..เหมือนกับที่นายทักษิณเคยหลอกคุณหญิงหน่อยมาแล้วเมื่อปี 2562.. และอีกอย่างสิ่งที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ โจมตีนายทักษิณว่าทรยศหักหลังมันมีผลมากกับการตัดสินใจของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน เพราะคนอีสานเคยได้ยินนายเนวินพูดทำนองเดียวกันนี้ในปี 2551 เมื่อครั้งที่อดีตหัวหน้าพรรคประชากรไทยถูกหักหลัง...”
ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์จากข้อมูลตัวบุคคล หรือว่าที่ผู้สมัคร สส. และว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประเมินจากพรรคคู่แข่งที่กำลังโดดเด่นขึ้นมา โพลล์ของทวนกระแสข่าว จึงมีผลออกมาว่า พื้นที่อีสาน เพื่อไทย จะได้ สส.เขต 70 คน บวกลบภูมิใจไทย ได้ สส.เขต 30 คน บวกลบ ไทยสร้างไทยได้ สส.เขต 15 คน บวกลบ พลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ ได้ สส.เขตพรรคละ 10 คน บวกลบ ที่เหลือกระจายกันได้พรรคละคนสองคน ส่วนพรรคก้าวไกลที่โพลล์ไปสำรวจว่ามาเป็นอันดับสองในภาคอีสาน แต่โพลล์ของทวนกระแสข่าว ฟันธงว่าก้าวไกลได้ สส.เขตไม่เกินหนึ่งคน
เมื่ออีสานซึ่งเป็นฐานแข็งแรงที่เป็นปราการมั่นคงของ เพื่อไทย ถูกแบ่งออกไปกว่า 40% จึงฟันธงว่า การรณรงค์เรื่องแลนด์สไลด์ของเพื่อไทย จึงกลายเป็นเรื่องแลนไถล (ตะกวดลื่นไถล) แคนดิเดตนายกฯจากเพื่อไทย จำเป็นต้องตัดออกไป ยังคงเหลือไว้เพียงสามแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นไปได้สูงคือ 1 จากพรรคภูมิใจไทย 2 จากพรรคพลังประชารัฐและ 3.จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
เหตุผลคือนอกจาก ภูมิใจไทย แย่ง สส.เขตอีสาน มาได้พอประมาณแล้ว ยังได้ สส.เป็น กลุ่มก้อนจากทุกภาค จึงประมาณการว่า ภูมิใจไทย จะได้สส. 100 คนบวกลบ พลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติจะได้ สส.เขต สองพรรครวมกันประมาณ 100 เขตบวกลบ และคาดหมายว่า พลังประชารัฐ จะได้สส.เขตมากกว่า รวมไทยสร้างชาติ เพราะสส.บ้านใหญ่ สส.ขาใหญ่ยังอยู่กับ พลังประชารัฐ ส่วน รวมไทยสร้างชาติ จะได้ สส.บัญชีรายชื่อมากกว่าเพราะชื่อเสียงบารมี “ลุงตู่” มีบัตรประชารัฐ มีนโยบายคนละครึ่ง เป็นตัวประกัน
สรุป คือ สองพรรคนี้ ได้ สส.เขตและสส.บัญชีรายชื่อ รวมกันแล้วไม่เกิน 116 คน แต่แคนดิเดตนายกฯของ พลังประชารัฐ จะมีภาษีกว่าแคนดิเดตนายกฯ รวมไทยสร้างชาติ เพราะหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐแบะท่า ว่าจะร่วมรัฐบาลกับ เพื่อไทยได้อย่างไร้รอยต่อ
ส่วน ประชาธิปัตย์ ถึงแม้จะได้ สส.มากกว่าการเลือกตั้ง 2562 คือ ประมาณการว่า จะได้ สส.60 ที่นั่งบวกลบ แต่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ในยุคธนาประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ดังนั้น นายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย น่าจะเป็น “น้องหนู” “ลุงป้อม” และ “ลุงตู่” ตามลำดับ นี่คือแบบฉบับของโพลล์ทวนกระแสข่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี